ทว่าบางรายก็ถูกปัดตกลงไปเพราะผลงานที่ไม่สม่ำเสมอ ก้าวขึ้นมาเหมือนพลุที่ให้ความสวยงามเพียงนิดเดียวก็จางหายไป แต่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันเราสามารถพูดได้เต็มปากกว่าเด็กหนุ่ม 2 คนอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ และ คีเลียน เอ็มบัปเป้ จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นไม้ประดับของวงการ และแบกวงการลูกหนังต่อจากรุ่นพี่อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จากผลงานที่ทำประตูเป็นว่าเล่น แถมพิสูจน์ตัวเองในฟุตบอลระดับสูงมาแล้วว่าไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลวงตา แต่คือของจริงที่รอวันก้าวเป็นใหญ่ในเส้นทางสายนี้
แน่นอนกับซูเปอร์สตาร์ 2 รายที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาเรากำลังเห็นพวกเขาอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิตนักเตะ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าแฟนบอลคงจะไม่ได้ลีลาสวยงามที่รังสรรค์ผ่านลูกหนังอีกต่อไป
ซึ่งการเติบโตของ ฮาแลนด์ และ เอ็มบัปเป้ กำลังจะก้าวขึ้นมาอุดช่องว่างให้ไม่ให้โลกลูกหนังมันขาดสีสัน และช่วยยกระดับความมันของเกมทั้งใน และนอกสนามมีอรรถรสมากกว่าเดิม
บั้นปลายของ พี่โด้ และ เมสซี่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้ง โรนัลโด้ และ เมสซี่ คือ 2 นักเตะที่มีอิทธิพลต่อวงการลูกหนังเป็นอย่างมาก แม้บุคลิกจะแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ทว่าปลายทางในสนามต่างมีเรื่องราวให้หยิบจับมาพูดถึงกันไม่มีวันจบสิ้น
ย้อนกลับไปช่วงแรกของสตาร์จากโปรตุเกสไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะมาได้ไกลขนาดนี้ แม้การย้ายมาสวมเครื่องแบบ "ปีศาจแดง" ในวันนั้นก็ไม่ใช่การการันตีอนาคตที่สวยงาม และยิ่งผลงานช่วงแรกลีลาการสับสยองโลกช่างเชิญชวนคำด่าจากแฟนบอล จนสามารถยกระดับกลายเป็นหนึ่งในปีศาจแดงที่กระหายประตู กระหายความสำเร็จ และกระหายทุกสถิติที่เขาสามารถทำลายมันลงได้
ส่วนเด็กหนุ่มจากโรซาริโอปัญหาสุขภาพตั้งแต่วัยเยาว์ไม่ใช่อุปสรรคที่จะมาหยุดยั้งความสามารถ และพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาได้ นับตั้งแต่วันแรกที่ลงสนามกับ บาร์เซโลน่า กลายเป็นว่าคือจุดเริ่มต้นของตำนานทุกอย่างในคัมป์ นู ประตูแล้วประตูเล่า ความสำเร็จในรูปแบบต่างๆ ถาโถมเข้ามาแบบไม่มีเว้นวรรค และแน่นอนในเรื่องราวต่างๆ ย่อมมีชื่อของ ลิโอเนล เมสซี่ เกี่ยวข้องอยู่ด้วย
วันเวลาผ่านไปทั้งคู่คือต่างแข่งขันกันอย่างสมเกียรติมากที่สุดของการลูกหนัง ทั้งเรื่องสถิติการยิงประตู หรือความสำเร็จส่วนตัวที่ต่างก็ยกย่องความยอดเยี่ยมของกันและกัน ความทรงจำที่ทั้งคู่ดวลเดือดในสเปนยังคงถูกหยิบจับมาพูดถึงจนถึงวันนี้ และคงไม่มากจนเกินไปถ้าจะบอกว่าเมื่อ "เอล กลาซิโก" ที่มี เมสซี่ แต่ไร้ โรนัลโด้ มันรู้สึกแปลกไม่น้อยในช่วงแรกๆ
ระยะเวลากว่า 15 ปี ที่ต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมืออาชีพ ต่างเหมือนเป็นแรงผลักให้อีกฝั่งต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผลประโยชน์ย่อมตกมาอยู่กับแฟนบอลที่ได้เห็นผลงานของพวกเขาในระดับที่โลกลูกหนังต้องจารึกในประวัติศาสตร์
ทว่าภาพเหล่านั้นในอดีตมันกำลังจะเริ่มหายไปตามกาลเวลา ด้วยเงื่อนไขของอายุ สามารถบอกได้เป็นอย่างดีว่าทั้งคู่กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของอาชีพแบบเต็มแก่
และไม่ว่าคุณจะยืนอยู่ฝั่งไหน ชื่นชอบใครเป็นพิเศษ แต่ถ้าเปิดใจ และมองด้วยเหตุผลของฟุตบอล เขาทั้ง 2 ต่างมีห้วงเวลาอันยอดเยี่ยมไม่ได้แตกต่างกันเลย
เด็กหนุ่มไฟแรง เอ็มบัปเป้ & ฮาแลนด์
ปลดเปลื้องเรื่องของ โรนัลโด้ กับ เมสซี่ ไป และก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของโลกลูกหนังกับ (ว่าที่) สตาร์เบอร์ต้นคนต่อไปอย่าง ฮาแลนด์ และ เอ็มบัปเป้ ด้วยช่วงอายุที่ห่างกันเพียงปีเดียว ซึ่งถ้าทั้งคู่ยืนระยะได้เราคงได้เห็นคู่เดือดใหม่ของวงการจากปลายสตั๊ดของเขาทั้งสอง
ที่ต้องว่าเขาทั้งสองยังคงเป็นว่าที่สตาร์ ส่วนหนึ่งเพราะอายุที่เพิ่งแตะหลัก 20 มาเพียง 2-3 ปี เรายังไม่สามารถบอกอะไรเลยว่าเขาจะสามารถต่อยอดกับผลงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันได้มากขนาดไหน แม้ตอนนี้พวกเขาจะเป็นดาวยิงที่ร้อนแรงมากที่สุดก็ตาม
ในรายของ ฮาแลนด์ คงไม่ต้องสาธยายอะไรให้มากความจากผลงานในสีเสื้อของ ซัลซ์บวร์ก ที่ยิงจนแจ้งเกิดบนโลกลูกหนังได้สำเร็จ เรื่อยมาถึงการระเบิดฟอร์มกับ ดอร์ทมุนด์ สถิติ 86 ประตู จาก 89 นัด คือเครื่องการันตีชั้นเยี่ยม
แม้จะโดนแฟนบอลบางกลุ่มตั้งแง่ว่าเล่นในลีกบอท แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถทำให้พรีเมียร์ลีกกลายเป็นขนมหวาน (หวานเจี๊ยบบบ …) ซัดประตูเป็นว่าเล่น แบบไม่ต้องมาเสียเวลาปรับตัวให้มากความ
เชื่อเถอะกับผลงานในปัจจุบันแฟนบอลหมดข้อสงสัยในตัวเด็กคนนี้ไปเยอะ ที่เหลือคือความสำเร็จที่จะคว้ามาเชยชมให้ได้ทั้งกับสโมสร หรือรางวัลส่วนตัว ซึ่งไม่แน่ว่าอาจมาถึงในเร็วๆ นี้ก็เป็นได้
ส่วนในรายของ เอ็มบัปเป้ อีกหนึ่งเด็กมหัศจรรย์จากฝรั่งเศสที่จดทะเบียนแจ้งเกิดบนเวทีลูกหนังตั้งแต่อายุเพียง 18 ปี ก่อนร่ายมนต์จนแฟนบอลต้องเหลียวมอง ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ดีดตัวเองจนกลายเป็นนักเตะตัวหลักของทีมชาติ และเถลิงบัลลังก์แชมป์โลกตั้งแต่อายุ 20 ปี พร้อมรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม
หลังจากนั้นพัฒนาการของ เอ็มบัปเป้ เด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทัพ เปแอสเช หลังจบฟุตบอลโลก 2018 พร้อมสอยแชมป์ในประเทศมาครองได้หมดแล้ว เหลือก็แค่เพียงโทรฟี่ใหญ่ของยุโรปเท่านั้น
แม้จะถูกแฟนบอลมองว่าช่วงหลังชีวิตของ "น้องเป้" เปลี่ยนไป นับตั้งแต่ขยายสัญญาใหม่กับ เปแอสเช จนถูกอวยยศยกให้เป็น "ประธานเป้" ก่อนนำมาซึ่งประเด็นดราม่ามากมายทั้งอีโก้, แสดงอาการไม่พอใจในสนาม หรือ ยกตัวตัวเองเป็นใหญ่
แต่ถ้ามองกันที่ผลงานในสนามเขาเองยังคงมีอีกหลายๆ อย่างที่จะแสดงออกมาให้แฟนบอลได้รับชมกัน
การขับเคี่ยวความสำเร็จ
อย่างที่เราทราบกันว่าที่ผ่านมา โรนัลโด้ กับ เมสซี่ ต่างมีแนวทางเป็นของตัวเอง ส่วนเครื่องชี้วัดความสำเร็จคือจำนวนโทรฟี่แชมป์รายการต่างๆ และรางวัลส่วนตัวโดยเฉพาะ บัลลง ดอร์ ที่ต่างก็คว้ามาเชยชมได้หลายครั้ง
ฉะนั้นแล้วกับเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาทั้ง ฮาแลนด์ หรือ เอ็มบัปเป้ มาตรวัดคงไม่แตกต่างกัน จะมีก็เพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจไม่เหมือนกันด้วยเรื่องของเวลา และความก้าวหน้าต่างๆ ทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬา, เทคโนโลยี หรือ ระดับฟุตบอลที่สูงขึ้นกว่าจากสมัยเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา
ประเด็นถัดมาคือเรื่องของการวางตัว และความเป็นมืออาชีพที่ผ่านมานักฟุตบอลหลายคนฝีเท้าดี แต่สันดานเสีย หลงละเมอกับแสงสีเสียง และสิ่งเร้ามีมายั่วยวนกลายเป็นเสียคนจนต้องหันหลังให้อาชีพนี้ไป
และที่สำคัญคือเรื่องของการยืนระยะ และรักษาสภาพร่างกายให้ได้ ที่ผ่านมารุ่นพี่ทั้งสองแทบไม่มีประวัติการบาดเจ็บที่ต้องพัก และหายจากสนามไปนาน แถมดูแลร่างกายตัวเองเป็นอย่างดีทั้งที่กรำศึกหนักมาตลอด แต่สามารถบริหารจัดการทุกอย่างไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม
ที่เหลือต่อจากนี้คือเรื่องของผลงานในสนามล้วนๆ ว่าใครจะประสบความสำเร็จมากกว่า และมีโอกาสสัมผัสกับโทรฟี่แชมป์ที่ปรารถนาได้ขนาดไหน ส่วนเรื่องรางวัลส่วนตัว อีกไม่นานเกินรอเราคงได้เห็นการขับเคี่ยวกันแบบดุเดือดแน่นอน
จากตรงนี้เราไม่อาจบอกได้ว่าอีก 5 หรือ 10 ปี ฮาแลนด์ กับ เอ็มบัปเป้ จะไปยืนอยู่จุดไหนของวงการลูกหนัง
แต่สิ่งที่พวกเขากำลังลงมือทำอยู่ในทุกวันนี้สามารถพูดได้เต็มปากว่าคือ "เดอะ แบก" ของวงการลูกหนังในรุ่นต่อไป
ซึ่งประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบันคงดุเดือด และมีอัตราความมันไม่แตกต่างจากที่รุ่นพี่เคยทำเอาไว้
- Paolinho -