การรั้งบ๊วยของรอบแบ่งกลุ่ม เนชั่นส์ ลีก มองผิวเผินอาจไม่ได้เป็นปัญหามากนัก เพราะก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเกมอุ่นเครื่องที่ทาง ยูฟ่า ยกระดับให้เกิดความน่าสนใจ และมูลค่าที่มากขึ้น ทว่าจากภาพที่ปรากฎกลายเป็นว่า "สิงโต" ตัวนี้คำรามไม่ออก ทั้งรูปแบบการเล่น และผลการแข่งขันที่ออกมา
ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราเลยจัดการระดมปัญหาที่อังกฤษกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ว่ามีอะไรบ้าง และถ้าแก้ไม่ตก ยกสิ่งเหล่านี้ออกไม่ได้บอกได้เลยว่ามีโอกาสพังพินาศในเวิลด์คัพไม่ใช่น้อย
การเลือกนักเตะสู่ทีม
ปัญหาแรกที่แฟนบอลเห็นกันตั้งแต่จะเตะเนชั่นส์ ลีก คราวนี้แล้วคือการเลือกผู้เล่นของกุนซืออย่าง แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ค่อนข้างมีความย้อนแย้งอยู่ในตัวเองมากมายเหลือเกิน
โอเคแหละครับเมื่อสัปดาห์ทีมชาติเวียนมาถึงการเรียกนักเตะมาติดทีมย่อมมีเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลในมุมมองต่างๆ ว่าทำไมคนนั้นเล่นดีไม่ติด หรือคนนี้ฟอร์มห่วยดันเรียกมาได้
ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือเรื่องธรรมดามากๆ ที่จะเกิดขึ้น ทว่ากับสิ่งที่ เซาธ์เกต เลือกปฏิบัติมันกลายเป็นว่าแฟนบอลมองไปในทิศทางเดียวกันว่าคือการใช้นักเตะ และบริหารนักเตะได้ห่วยแตกเอามากๆ
นักเตะอย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ที่ไม่ได้ลงเล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมลีก 4 นัดติดต่อกัน อีกทั้งเมื่อได้ลงสนามเป็นตัวจริงก็มักสร้างความชิบหายอยู่บ่อยครั้งจนเกิดสถิติเป็นตัวจริงเมื่อไหร่แพ้เมื่อนั้น แต่กลับยังคงอยู่ในทีมชุดนี้ หรือแม้แต่ ลุค ชอว์ ที่โดน ไทเรลล์ ลามาเซีย เบียดไปนั่งอยู่ข้างสนามยังถูกเรียกติดทีมมาด้วย
ไหนจะรวมไปถึงในเคสของ คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่ซีซั่นนี้ลงเล่นให้ แมนฯ ซิตี้ ในทุกรายการไปเพียง 13 นาที ยังได้รับโอกาสในนามทีมชาติอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีข้ออ้างว่าเป็นนักเตะที่คุ้นเคยกับระบบของทีม แต่ในเมื่อนักเตะไม่ได้เล่นกับต้นสังกัด ไม่ได้มีเวลาในสนามมากพอ โอกาสตรงนี้ก็ควรหลุดไปหาคนอื่นๆ หรือเปล่า ?
แน่นอนนี่คือโจทย์แรกที่ เซาธ์เกต เองต้องตอบคำถามให้ได้ อาจไม่ใช่เรื่องของการออกมาพูดผ่านสื่อ แต่อย่างน้อยผลงานในสนามควรจะทำได้ตามเป้าหมายคือชัยชนะ เพราะถ้าเกิดพ่ายแพ้ขึ้นมาสิ่งเหล่านี้มันก็จะยังคงหมุนเวียนหลอกหลอนอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ
รูปแบบการจัดทีม
เกมล่าสุดของทีมชาติอังกฤษที่พ่ายให้กับ อิตาลี 1-0 แกเร็ธ เซาธ์เกต ปรับมาใช้ระบบ 3 กองหลังอีกครั้ง โดยเลือกใช้ เอริค ดายเออร์, แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ ในการประสานงานร่วมกัน ซึ่งกับการจับฟูลแบ็คของ แมนฯ ซิตี้ ไปยืนตรงนั้นมันไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเขาเคยทำมาแล้ว
ทว่าสิ่งที่แฟนบอลคงแปลกใจไม่น้อยคือเขาเรียกนักเตะในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาร์ฟมามากถึง 6 ราย แต่กลับหุบแบ็คที่เติมรุก และอันตรายทางริมเส้นไปเล่นในบทบาทดังกล่าว มันสมควรแล้วจริงๆ หรือ ?
แถมสิ่งที่เซอร์ไพรส์แฟนบอลอีกอย่างคือการจับ บูกาโย่ ซาก้า ไปยืนเป็นวิงแบ็คทางฝั่งซ้ายเสียอย่างงั้น ทั้งที่ในทีมมีฟูลแบ็คในบทบาทดังกล่าง แถม เบน ชิลเวลล์ ที่เรียกตัวมาก็ถูกตัดชื่อออกจากเกมนี้ไป กลายเป็นว่า เซาธ์เกต ทำเสียของไปแบบดื้อๆ
นี่ยังไม่รวมถึงการแก้เกมที่ขัดใจแฟนบอลไม่น้อย ทั้งที่ทีมต้องการประตูแต่ดันเลือกเปลี่ยนตัวเพียง 2 ราย คือ ลุค ชอว์ กับ แจ็ค กรีลิช ทั้งที่แนวรุกคนอื่นๆ อย่าง ฟิล โฟเด้น หรือ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เล่นไม่ออก และม้านั่งสำรองมีทีเด็ดที่พอฝากความหวังไว้ได้ทั้ง แทมมี่ อบราฮัม หรือ จาร็อด โบเว่น
แน่นอนสิ่งเหล่านี้มันดูเป็นองค์ประกอบที่ไม่ค่อยดีนักของ เซาธ์เกต รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนแบบแผนไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว จากสถิติในเนชั่นส์ลีกปีนี้ เจ้าตัวปรับแผนไปแล้วถึง 3 แบบ จากการลงสนาม 5 นัด ประกอบไปด้วย 3-4-3, 4-2-3-1 และ 3-5-2
ความลงตัวคือสิ่งที่พวกเขาควรที่จะมี และรูปแบบการเล่นแนวทางควรที่จะชัดเจนกว่านี้ เพราะเมื่อฟุตบอลโลกเปิดฉากขึ้นมาเขาจะหมดสิทธิ์ทดลองสิ่งต่างๆ อีกต่อไปแล้ว
การทำประตู
อีกหนึ่งปัญหาที่แก้ไม่หายของ อังกฤษ ในตอนนี้คือกระบวนการจบสกอร์ที่ในศึกเนชั่นสลีก เพิ่งทำประตูคู่แข่งได้เพียงประตูเดียว อีกทั้งยังมาจากจุดโทษในเกมที่เสมอกับ เยอรมัน 1-1 ส่วนประตูแบบโอเพ่นเพลย์ต้องย้อนกลับไปไกลเมื่อช่วงต้นปีในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับ ไอวอรี่โคสต์
ซึ่งถ้าเรากางรายชื่อนักเตะในตำแหน่งกองหน้าหนึ่งในแข้งที่จบสกอร์ดีที่ในโลกอย่าง แฮร์รี่ เคน ก็อยู่ในโผนี้ด้วย รวมไปถึงรายอื่นๆ ที่ผลงานถือว่าพอเชื่อมือได้อย่าง แทมมี่ อบราฮัม หรือตัวสนับสนุนด้านข้างอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ฟิล โฟเด้น หรือ บูกาโย่ ซาก้า
ทว่าในเมื่อวัตถุดิบดีขนาดนี้ แต่เหตุไฉนไหนพ่อครัวผู้ผสมผสานกลับทำให้ของเหล่านั้นมีมูลค่าธรรมดาๆ ไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้ และยิ่งการทำประตูไม่ได้ 3 นัดติดต่อกันแผลเหล่านั้นเริ่มแสดงออกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าทีมในมือของ แกเร็ธ เซาธ์เกต กำลังเผชิญปัญหาตรงนี้มากขนาดไหน
เพราะสุดท้ายฟุตบอลตัดสินกันด้วยการทำประตู ต่อให้ผลงานเลิศเลอขนาดไหน แต่ไม่อาจพาบอลไปจมก้นตาข่ายได้ก็ไร้ความหมาย ทุกอย่างมันต้องลงตัว และเดินไปพร้อมๆ กัน
ฉะนั้นปัญหานี้น่าสนใจว่า เซาธ์เกต จะแก้ไขอย่างไร ตัวนักเตะมีดีมากพออยู่แล้ว คงอยู่ที่คนบังคับทิศทางว่าจะเล่นแร่แปรธาตุให้บุคคลเหล่านั้นเค้นศักยภาพออกมาได้มากขนาดไหน
แกเร็ธ เซาธ์เกต
"เข้ารอบรองฯ ฟุตบอลโลก ต่อด้วยเข้าชิงฯ ศึกยูโร" ผลงานถือว่าไม่น่าเกลียดสำหรับนายใหญ่วัย 52 ปี แต่ทว่าด้วยรูปแบบ และระบบแบบแผนต่างๆ ดูเหมือน แกเร็ธ เซาธ์เกต จะไม่ได้รับเครดิตตรงนี้มากเท่าไหร่นัก หนำซ้ำแฟนบอลยังมองว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะฝีเท้าของนักเตะ มากกว่าแท็คติกจากผู้ฝึกสอน
ซึ่งถ้าจะให้มองมุมนั้นมันก็ดูใจร้ายเกินไปหน่อย แต่ที่ผ่านมาตัวของ เซาธ์เกต เองก็ยังไม่ได้แสดงออกชัดเจนถึงการเลือกนักเตะ, จัดทีม 11 ตัวจริง, การแก้เกม หรือ การตัดสินใจอะไรที่มันส่งผลในแง่บวกมากนัก
และยิ่งนับวันดูเหมือนตัวเขาจะถูกกดดันจากแฟนบอลมากยิ่งขึ้น ทว่าคำตอบโต้ของเขาคล้ายคนหยิ่งผยองไม่ใช่ว่าน้อยเฉกเช่นคำสัมภาษณ์ล่าสุดที่ว่า "ผมคิดว่าผมคือคนที่เหมาะสมที่จะพาทีมลุยทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก ผมคิดว่าทุกอย่างมันจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น และไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งนั้น"
ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่บางทีถ้ามั่นใจอะไรมากนักมันจะกลายเป็นการขุดหลุมฝั่งตัวเองเสียมากกว่า ซึ่งตัวของเขาเหมือนเขากำลังเดินทางในสายนี้ เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ดื้อรั้นกับสิ่งที่มันไม่ควรอย่างเช่นการเลือกนักเตะมาติดทีมชาติ
แน่นอนทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะสอบผ่านหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามด้วยสัญญาที่สมาคมฯ มอบให้เขาถึงปี 2024 หรือถึงศึกยูโรครั้งหน้า ถ้าหากบอลโลกครั้งนี้ผลงานไม่เลวร้ายถึงขั้นตกรอบแรก หรือไร้ชัย อย่างไรเสีย เซาธ์เกต ก็ยังคงได้นั่งแท่นเก้าอี้ตัวนี้ต่อไปอย่างแน่นอน
ซึ่งอย่างที่บอกปัญหาทั้งหมดมันกำลังรุมเร้าใส่ทีมอย่างหนัก และคนที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือหัวเรือใหญ่ที่คอยกำหนดทิศทางในสนามอย่าง แกเร็ธ เซาธ์เกต
- Paolinho -