logo-heading

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จในรายการ พรีเมียร์ลีก มากที่สุดในช่วงหลัง หลัง 5 ซีซั่นหลังสุด คว้าแชมป์ไปได้ถึง 4 ครั้ง แต่แชมป์ที่จำจดที่สุดของพวกเขา สำหรับเรา ไม่ใช่ปีที่พวกเขาทำแต้มกระจาย หรือยิงกระจายระดับสถิติ พรีเมียร์ลีก

หากแต่เป็นในฤดูกาล 2011-12 ซีซั่นที่พวกเขาคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้เป็นครั้งแรก พร้อมกับการลุ้นแชมป์สุดระทึกระดับประวัติศาสตร์ และแน่นอนวันนี้ ขอบสนาม ของเราจะพาไปย้อนรอย เรือใบสีฟ้า ในซีซั่นนั้นกันครับ …

 

ขุนพลและกุนซือ

ขุมกำลังหลัก ๆ ซิตี้ ในชุดนั้น น่าจะชื่อคุ้นหูแฟนบอลกันทุกคน โดยไล่จากผู้รักษาประตูเป็น โจ ฮาร์ท ที่กำลังอยู่ในช่วงพีค คู่เซ็นเตอร์เป็น โจเลออน เลสคอตต์ กับ แว็งซ็อง กอมปานี กัปตันทีม

ฟูลแบ็ค ฝั่งขวาใช้สลับระหว่าง ปาโบล ซาบาเลต้า กับ ไมกาห์ ริชาร์ดส์ ส่วนฝั่งซ้ายเป็น กาแอล กลีชี่, คู่กองกลางเป็น ยาย่า ตูเร่ กับ แกเร็ธ แบร์รี่

โดยมี ซาเมียร์ นาสรี่ ที่พึ่งซื้อมาในตลาดซัมเมอร์นั้น กับ ดาบิด ซิลบา เป็นตัวสร้างสรรค์เกม และตัวจบสกอร์เป็นคู่หูอาร์เจนไตน์อย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่พึ่งซื้อมาในตลาดซัมเมอร์นั้นเช่นกัน คู่กับ คาร์ลอส เตเวซ

ต้องบอกผู้เล่นหลัก-ตัวจริงของ ซิตี้ ชุดนี้ ดูดีทุกตำแหน่ง พร้อมพ่วงด้วยกุนซือที่มีผีมืออย่าง โรแบร์โต้ มันชินี่ ชายที่ตอนนั้นมีดีกรีคือประสบความสำเร็จกับลีก อิตาลี มาแล้วในทุกรายการ

สไตล์การเล่น

ด้วยความที่ มันชินี่ นเป็นกุนซือสายบุก และตัวผู้เล่น แมนฯ ซิตี้ ก็เต็มไปด้วยแข้งที่มีพรสวรรค์ในเกมรุกหลายคน ทำให้สไตล์หลักของพวกเขาแน่นอนคือ ‘เน้นบุก’ โดยมักจะใช้วิธีผ่านการครองบอล และเน้นจ่ายบอลสั้น แทงทะลุช่องเป็นอาวุธหลักในการสร้างสรรค์

สำหรับ แท็คติก หลักของ แมนฯ ซิตี้ ที่หากดูจากตัวผู้เล่นแล้วน่าจะเป็น 4-4-2 หรือ 4-4-1-1 ใช่ไหมครับ แต่จริง ๆ เรากลับพบว่าแผนประจำของพวกเขาในปีนั้นก็คือ ‘4-2-3-1’ แต่การยืนจะไม่ตายตัว พร้อมกับมีสลับนำระบบ 4-3-3 กับ 4-4-2 มาใช้บ้าง

สู้เพื่อฟันที่รอคอย

ต้องบอกก่อนว่าตอนนั้น ไม่ใช่ว่า แมนฯ ซิตี้ ไม่เคยได้แชมป์ลีกอังกฤษเลย พวกเขาเคยได้มาแล้วสมัยที่ลีกสูงสุดแดนผู้ดียังใช้ชื่อว่า ดิวิชั่น 1 ซึ่งเคยได้มาแล้ว 2 ครั้งด้วยกัน แต่ถ้านับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก พวกเขาก็ยังไม่เคยได้มันมาครอบครองเลย

และหากนับดูเวลาจริง ๆ คือเป็นการรอคอยมานานถึง 44 ปีแล้ว สำหรับแชมป์ลีก ซึ่งถ้าหากคุณรู้สึกว่า ลิเวอร์พูล ที่รอมา 30 ปีว่านานแล้ว อันนี้ยิ่งกว่า และนานกว่ากันไปอีก 14 ปี ไม่ต้องบอกก็รู้ครับ ว่าหากได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ขึ้นมา เหล่าแฟน ซิตี้ จะดีใจกันขนาดไหน และที่สำคัญมันเป็นช่วงที่พวกเขาต้องขับเขี้ยวแย่งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่อริร่วมเมืองด้วย

โดยในฤดูกาลก่อน หรือซีซั่น 2010/11 แมนฯ ซิตี้ จบมาด้วยอันดับ 3 แต่มีแต้มเท่ารองจ่าฝูง เชลซี คว้าตั๋วไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งที่ 2 หรือครั้งแรกในรอบ 43 ปีสโมสร เรียกว่านานเหมือนกันกว่าที่พวกเขารอจะได้กลับไปเล่นในรายการสูงสุดยุโรปอีกครั้ง

และในฤดูกาลถัดจากนั้นมา หรือใน 2011/12 ก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะได้ลุ้นไล่ล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่รอคอย และ เรือใบสีฟ้า ก็สามารถออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยม 12 นัดแรกชนะไปถึง 11 และไม่แพ้ใคร ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเกมที่บุกชนะ แมนยู 6-1 ด้วย จนพวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นจ่าฝูง ก่อนที่ในช่วงกลางฤดูกาลหรือถัด ๆ มา จะมีสะดุด จนสลับโดน ปีศาจแดง แย่งจ่าฝูงไปบ้าง

ส่วนในรายการบอลถ้วยปีนี้ ซิตี้ ถือว่าไม่ค่อยดีนัก แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาจอดตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม, จนหล่นไปเล่น ยูโรปา แต่ก็ต้องตกไปในรอบ 16 ทีม ส่วน เอฟเอ คัพ ไปได้ถึงรอบ 3 และ ลีก คัพ ก็ไม่สุด จบที่รอบรองชนะเลิศ

โดยแม้จะถือเป็นเรื่องร้าย แต่มันก็อาจถือเป็นโอกาสดีให้พวกเขาได้โฟกัสที่ พรีเมียร์ลีก อย่างเต็มที่ แต่การแย่งแชมป์กับ ยูไนเต็ด ยุคป๋าไม่มีคำว่าง่ายและห่างไกลจากคำนั้น 

เมื่อถึงช่วงท้ายฤดูกาล กลายเป็นว่า ซิตี้ ต้องตามหลัง ยูไนเต็ด ถึง 8 คะแนน และเหลือเกมให้เล่นเพียง 6 นัดเท่านั้น แต่มันก็เกิดเรื่องราวไม่คาดฝันขึ้น เมื่อ ปีศาจแดง สะดุดไปถึง 3 นัด รวมถึงเกมที่แพ้ต่อ ซิตี้ 1-0 ด้วย 

ทำให้ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลกลายเป็นเกมตัดสินแชมป์ หลังมีแต้มเท่ากันที่ 86 คะแนน แต่ แมนฯ ซิตี้ มีลูกได้เสียดีกว่าถึง 8 ประตู ซึ่งถ้าพูดในทางปฏิบัติ หาก เรือใบสีฟ้า เก็บสามแต้มในนัดสุดท้ายได้ พวกเขาจะได้สานฝันสู่แชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่รอคอยมากว่า 44 ปีอย่างแทบจะแน่นอน

 

แมตช์แห่งความทรงจำ

และวันนั้นก็มาถึง ฝั่ง แมนฯ ซิตี้ ดูมีเกมที่ไม่ยากกับการได้เล่นในบ้าน เจอกับทีมหนีตกชั้นอย่าง คิวพีอาร์ ส่วน แมนยู ต้องออกเยือน ซันเดอร์แลนด์ และแน่นอนนัดสุดท้ายของฤดูกาลพวกเขาแข่งพร้อม ๆ กัน อีกราว 90 นาทีจะได้รู้ผลว่าใครจะเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2011-12

โดยฝั่งที่ยิงประตูได้ก่อนเป็น ยูไนเต็ด ตั้งแต่นาทีที่ 20 จาก เวย์น รูนี่ย์ ส่วน ซิตี้ ก็มานำในครึ่งแรกได้เช่นกัน จาก ปาโบล ซาบาเลต้า ในนาทีที่ 39 สถานการณ์ดูเหมือนไม่น่ามีปัญหาสำหรับ เรือใบสีฟ้า แต่พอเริ่มครึ่งหลังมา มันไม่ใช่แบบนั้น

เมื่อกลายเป็นว่า ซิตี้ โดน คิวพีอาร์ พลิกกลับมานำเฉยเมย โดนยิงทีเดียวสองลูกจากในนาทีที่ 48 และ 66 ตามลำดับ

แมนฯ ซิตี้ คืบคลานเข้ามาใกล้กับจุดที่อาจต้องพบกลับความผิดหวังขั้นขีดสุด หลังนาทีที่ 90 พวกเขายังไม่สามารถตีเสมอได้ แม้จะพับสนามบุกแหลกก็ตาม

แต่แล้วประตูแห่งการเรียกความหวังก็มาได้ แบบเกือบจะไม่ทันเวลา หลังเป็น เอดิน เชโก้ กองหน้าสำรองที่เปลี่ยนลงมา โขกทำประตูเตะมุมพาทีมตีเจ๊าในนาทีที่ 90+2 

แต่มันยังเหลืออีกประตูที่พวกเขาต้องทำให้ได้ หลังคู่ แมนยู เป่าจบไปแล้ว ด้วยชัยชนะ 1-0 ของ ปีศาจแดง และถัดจากนั้นอีกประมาณ 15 วินาที หลังจากคู่ แมนยู จบ

ได้เกิดวินาทีประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ที่แฟนบอลจะจำไปจนตายแบบไม่มีวันรู้ลืม ในนาที 93:20 ได้เกิดปาฎิหาริย์ในสนาม เอติฮัด เมื่อ เซร์คิโอ อเกวโร่ ได้หลุดเข้าไปตะบันด้วยขวา พา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าชัย 3-2 แฟน ๆ ในสนามต่างพาดีใจกันแบบสุดตัว ในขณะที่แฟนบอลและนักเตะ แมนยู ที่ยังอยู่ในอีกสนามเฝ้าแล้วเฝ้ารอผลการแข่งขัน ต้องได้รับข่าวช็อค

และมันเป็นการตัดสินแชมป์ที่ระทึกใจที่สุดในประวัติศาสตร์ศึกลูกหนัง พรีเมียร์ลีก และเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวจนถึงตอนนี้ที่ พรีเมียร์ลีก ได้ตัดสินแชมป์กันด้วย ‘ประตูได้เสีย’

ถือเป็นการคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 44 ปีของ แมนฯ ซิตี้ อย่างยิ่งใหญ่ และน่าจดจำโคตร ๆ

 

เก็บตกรางวัลส่วนตัว

แน่นอนเมื่อทีมฟอร์มดีไปถึงแชมป์ ก็ย่อมมีนักเตะหลายคนที่ฉายแสงแวบวับจนได้รางวัลส่วนตัวติดมือไป ไล่ตั้งผู้เล่น พรีเมียร์ลีก ยอดเยี่ยมแห่งซีซั่นนั้น หรือ 2011-12 ตกเป็นของ เซ็นเตอร์กัปตันทีม กอมปานี

โจ ฮาร์ท คว้ารางวัลถุงมือทองคำ จากการเก็บคลีนชีตได้มากมราสุด และ 2 คนนี้รวมกับ ยาย่า ตูเร่ กับ ดาบิด ซิลวา ก็ได้มีชื่อทีมยอดเยี่ยมแห่งปี PFA ด้วย

ส่วนดาวซัลโวประจำซีซั่นของสโมสรอย่าง กุน อเกวโร่ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของทีม แมนฯ ซิตี้

และจากนั้น นี่ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น สู่การสานต่อความสำเร็จ และเริ่มต้นยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ของ เรือใบสีฟ้า มาจนถึงทุกวันนี้ เป็นแชมป์แรก และแชมป์ที่สำคัญจริง ๆ ครับ.

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline