logo-heading

เพราะต่อให้ โมดริช จะเข้าสู่วัย 37 ปี ใกล้ถึงหลัก 4 แบบเต็มแก่ แต่ทุกวันนี้ เขายังลงฟาดแข้งบนลีกระดับสูง ต่อสู้กับเด็กหนุ่มบนผืนฟลอร์หญ้า ได้อย่างสบายหายห่วง 

5-6 ปีที่แล้ว เคยยอดเยี่ยมมากแค่ไหน ปัจจุบัน โมดริช ก็เหมือนสตาฟผลงานเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เผลอๆ จะได้รับการยกย่องมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ จากการโชว์ลวดลาย ที่ยังพุ่งขึ้นสุดได้แบบไม่มีขีดจำกัด

สิ่งที่ โมดริช ร่ายเวทมนต์ออกมาในสนาม ไม่ได้เกิดขึ้นจากพรสวรรค์ แต่เป็นพรแสวง ที่เขาไม่รู้จักคำว่า "ยอมแพ้" ..

ในวันที่ โมดริช ตัดสินใจ ย้ายจาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มาอยู่กับ ราชันชุดขาว เหมือนว่าทุกอย่างจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ค่าตัว 33 ล้านปอนด์ คือสิ่งการันตีว่าเขายอดเยี่ยมมากแค่ไหน ทั้งความคลาสสิค และ ความขยัน สมัยอยู่กับ ไก่เดือยทอง ถึงแม้จะไม่มีแชมป์ติดมือกับสโมสรก็ตาม 

แต่ทุกหนทางย่อมมีอุปสรรคมาเป็นขวากหนาม

เพราะ ครั้งหนึ่ง โมดริช เคยได้รับคะแนนโหวตจากแฟน ราชันชุดขาว ว่า เป็นการเซ็นสัญญาที่แย่ที่สุดของสโมสรปี 2012 และ เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ โมดริช ก็อาจก้มหน้ายอมรับมัน ไม่ว่าคุณจะยิ่งใหญ่มาจากที่ไหน แต่ถ้ามาอยู่กับ มาดริด คุณอาจเป็นแค่นักเตะธรรมดาคนหนึ่ง

ไม่มีใครปฏิเสธฝีเท้าหรือความสามารถของ แต่ในปีนั้นการจะยึดตำแหน่งตัวจริงของ มาดริด แบบถาวร ช่างยากเหลือเกิน ขนาด กาก้า เพลย์เมกเกอร์ระดับโลก ยังต้องนั่งเป็นสำรองเช่นกัน เนื่องจากมิดฟิลด์อัดแน่นเต็มไปหมด ทั้ง เมซุต โอซิล, ซามี่ เคดิร่า, ชาบี อลอนโซ่ หรือ มิคาเอล เอสเซียง เป็นต้น

ถ้าวันนั้น โมดริช ไม่มีความพยายาม หรือ ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เขาคงเลือกย้ายออกจาก มาดริด ไปเล่นให้กับสโมสรที่ได้ลงสนามสม่ำเสมอ มากกว่า แต่เพราะเขาเป็นคนหนักเอาเบาสู้ การเผชิญกับไฟสงครามตั้งแต่เด็กๆ ครอบครัวต้องอพยพ กลายเป็นผู้ลี้ภัย ได้หล่อหลอมให้เขาแข็งแกร่ง พร้อมเผชิญทุกปัญหา

จากนักเตะที่ยังไม่สามารถลงหลักปักฐาน ยึดตำแหน่งตัวจริงในทีม มาดริด กลายเป็นนักเตะที่สโมสร จะขาดไปไม่ได้เลยในปัจจุบัน ซึ่งจากเดิมที่เก่งอยู่แล้ว กลายเป็นเก่งขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อเขาได้มาเล่นร่วมเป็นมิดฟิลด์ 3 ประสานร่วมกับ โทนี่ โครส และ คาเซมิโร่ ในยุคเกรียงไกรของ ซีเนอดีน ซีดาน

เรื่องความสุดยอดคงไม่บรรยายสรรพคุณอะไรมากนัก โดยมีอยู่เกมหนึ่ง ที่ มาดริด บุกไปเอาชนะ เออิบาร์ ถึงถิ่น 4-1 วันนั้นแฟนบอลเจ้าบ้าน ลุกขึ้นปรบมือให้กับผลงานอันยอดเยี่ยมของ โมดริช

โมดริช มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพา มาดริด สร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกที่สามารถคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ 3 สมัยซ้อน โดยเฉพาะในปี 2018 ไม่ใช่แค่ผลงานเปรี้ยงปร้างกับสโมสรเท่านั้น แต่เขายังนำทีมชาติโครเอเชีย ทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก มาแล้ว

ต่อให้สุดท้ายจะพ่ายแพ้ต่อ ฝรั่งเศส แต่ทัวร์นาเมนต์นั้น โมดริช รังสรรค์ผลงานเอาแบบที่โลกต้องตะลึง ซึ่งมันถูกการันตีด้วยการคว้า บัลลง ดอร์ มาครองอย่างยิ่งใหญ่ จารึกชื่อตัวเองเอาไว้ว่า เป็นมนุษย์คนแรก ที่สามารถล้มบัลลังค์ ลูกฟุตบอลทองคำ ของทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ ลงได้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

ณ ตอนนั้น โมดริช อายุ 34-35 ปี เข้าไปแล้ว ใครๆก็มองว่า ก็คงหมดไฟไปตามกาลเวลา ยิ่งช่วงที่ พี่โด้ ย้ายออกจาก มาดริด ไป ก็มีแต่คนค่อนขอดว่า โมดริช หรือ เพื่อนๆคนอื่น คงไม่สามารถเป็น เดอะ แบก พาทีมประสบความสำเร็จได้อีกแล้ว

แต่แล้ว โมดริช ก็พิสูจน์ให้เห็นเลยว่า พวกโค้ชคีบอร์ดเหล่านั้น "คิดผิด" เพราะดาวเตะทีมชาติโครเอเชีย ยังคงบัญชาเกมในแผงมิดฟิลด์ ได้อย่างลือเลื่อง ไม่ว่าใครหน้าไหนจะย้ายเข้ามาสู่ทีม แต่ไม่เคยยึดตำแหน่งของเขาได้เลย

"ลูกา โมดริช อายุ 35 ปีแล้วไช่ไหม? แต่เวลาอยู่ในสนามเขาดูยังหนุ่มยังแน่น เขาเป็นนักเตะที่มหัศจรรย์เหลือเกิน"

นี่คือคำยกย่องของ ซีดาน ที่ยังคงตะลึงกับผลงานอันยอดเยี่ยมของเตะรายนี้

ต่อให้ โมดริช จะอายุ 37 ปี เข้าไปแล้ว แต่เขาไม่ได้แสดงอาการโรยรา หรือ เป็นแข้งตกยุคแต่อย่างใด ความเก๋าของเขาต่างหาก ที่ยังทำให้ มาดริด ร้อนแรงดั่งกับไฟเยอร์ เหมือนสำนวนที่ว่า "ขิงยิ่งแก่ ยิ่งเผ็ด" !!

โดยเฉพาะ ลายเซ็นการเปิดด้วยข้างเท้าด้านนอก หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ปั่นไซด์ก้อย" เขาโชว์ท่านี้มาให้เห็นแบบนักต่อนัก ทั้งการแอสซิสต์ให้กับเพื่อน หรือ การยิงประตูแบบที่ต้องจารึกว่า "คลาสสิค"

ทักษะ + มันสมอง + ความนิ่ง เป็นคำนิยามหล่อหลอมที่ขอมอบให้กับ โมดริช มันเป็นสมการคำยกยอง่ายๆที่บ่งบอกถึงตัวตนนักเตะรายนี้ได้ดีที่สุด

คำดูถูกที่เขาต้องเผชิญ ได้เปลี่ยนมันด้วยการเอาความสำเร็จมาตบหน้า โดยมีส่วนสำคัญพา เรอัล มาดริด คว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้ง ลา ลีกา สเปน และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา

โมดริช ทำให้เห็นว่า อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข ในวันที่พา มาดริด ฝ่าฟันเข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ต้องเจอกับ ลิเวอร์พูล บนสังเวียนนัดชิงโทรฟี่ เขาทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสุดติ่งกระดิ่งแมว บัญชาเกมแผงมิดฟิลด์สู้กับนักเตะตัวท็อปได้อย่างสบายๆ การแอสซิสต์ หรือ การผ่านบอลของเขา ให้กับเพื่อนๆ ยังคงถูกยกย่องถึงความเหนือชั้น

ในวันนี้ วันที่ โมดริช ชราภาพลง อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่หัวใจกับสภาพร่างกายของเขา ยังคงพร้อมต่อสู้เหมือนวันวานที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าของเขาจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อเถอะว่า โมดริช ยังคงค้าแข้งได้อีกหลายปี และ หวังว่าเมื่อถึงวันที่ต้องแขวนสตั๊ด ขอให้มันจบลงอย่างยิ่งใหญ่กับ เรอัล มาดริด สโมสรที่เขาสร้างประวัติศาสตร์ไว้มากมาย

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline