logo-heading

คุณรู้หรือไม่ว่า? 5 นัดหลังสุดในศึก พรีเมียร์ลีก ที่ผ่านมา มีแค่เพียง 2 สโมสรเท่านั้นที่ไม่แพ้ใคร หนึ่งในนั้นก็คือ แมนฯ ซิตี้ และอีกทีมนั้นค่อนข้างเซอร์ไพรส์ กับน้องใหม่หน้าเก่าที่กำลังสร้างผลงานได้ดีเกินคาดอย่าง ‘บอร์นมัธ’

จากทีมที่ดูเป็นม้านอกสายตา วันนี้เราคิดว่าทุกคนต้องเริ่มกลับมาจับตามองที่พวกเขากันบ้างแล้ว และแน่นอนวันนี้ ขอบสนาม ของเรา จะพาไปทำความรู้จักกับนักเตะของพวกเขาให้มากขึ้น กับหนึ่งในคีย์แมนเบอร์สำคัญที่สุด ที่ชื่อน่าจะคุ้นหูทุกคนอย่าง ‘โดมินิค โซลันกี้’

กับเรื่องราวสตอรี่ที่น่าสนใจของเขา ว่าจากดาวรุ่งแววดีที่น่าผิดหวัง จนคนคิดว่าดับไปแล้ว แต่ โซลันกี้ นั้นทำอย่างไร และผ่านอะไรมาบ้าง จึงสามารถกลับมาเกิดใหม่ในทัพ เดอะ เชอร์รี่ส์ และได้กลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ในศึกลีกสูงสุดอังกฤษครับ ไปครับ ไปฟังเรื่องราวของเขากัน …

ผลงานอันน่าผิดหวังในอดีต

เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังพอจำกันได้ ว่า โซลันกี้ นั้นเคยเป็นหนึ่งกองหน้าดาวรุ่งที่น่าจับมองที่สุดในเกาะอังกฤษ เขาเป็นหัวหอกแววดี มีเพดานศักยภาพสูง จุดเด่นคือร่างกายที่สูงใหญ่, จบสกอร์ดี และยังเล่นกับบอลได้อย่างนุ่มนวล

โซลันกี้ ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในทีมอคาเดมี่ เชลซี เขาคว้ามาได้ทั้งแชมป์ พรีเมียร์ลีกชุด U-21 และ ยูฟ่า ยูธ ลีก พร้อมกับรางวัลดาวซัลโว และยังเคยได้รับรางวัลดาวรุ่งแห่งปีของ สิงห์บลูส์ มาแล้ว

อีกทั้งเขายังประสบความสำเร็จกับทีมชาติ อังกฤษ ชุดเยาวชน คว้ามาได้ทั้ง แชมป์ยูโรชุด U-17 และแชมป์โลกชุด U-20 พร้อมกับรางวัลลูกบอลทองคำหรือดาวซัลโวในรายการนี้ และยังเคยได้รางวัลดาวรุ่ง อังกฤษ แห่งปีมาแล้วด้วย

โซลันกี้ จึงมีโอกาสขึ้นสู่ทีมระดับอาชีพหรือชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว เขาเซ็นสัญญาอาชีพกับ เชลซี และกลายเป็นนักเตะ เชลซี ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยวัยเพียง 17 ปีกับ 1 เดือน 

ก่อนจะถูกส่งตัวไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับ วิเทสส์ ในลีกดัชต์ แล้วได้กลับมาอยู่กับ เชลซี ในอีกหนึ่งฤดูกาลในฐานะสำรอง เนื่องจากตอนนั้นในทีมมีทั้ง ดิเอโก้ คอสต้า และ มิตชี่ บาตชัวยี่

ก่อนที่ตัวเขาจะตัดสินใจปล่อยหมดสัญญากับ เชลซี และเลือกย้ายไปอยู่กับ ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล ในปี 2017 ซึ่งจากนั้นไม่นานเขาก็มีเกียรติประวัติได้ติดธงทีมชาติ อังกฤษ ชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปี 2017 หรือด้วยวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น

แต่ไม่น่าเชื่อว่าตอนนั้น โซลันกี้ จะกลายเป็นอีกดาวรุ่งที่มีแวว แต่กลับไม่ได้เจิดจรัส เพราะเขาเป็นได้แค่เพียงตัวสำรองในถิ่น แอนฟิลด์ ต้องอยู่ใต้เงาของสามประสานอย่าง ซาลาห์, มาเน่ และ ฟีร์มิโน่

ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่ามันเป็นการยากที่จะสอดแทรกแย่งนาทีลงสนามกับ 3 คนนี้ แต่ โซลันกี้ ก็ยังพอได้โอกาสลงสนามกับ ลิเวอร์พูล อยู่บ้าง ที่ 27 นัดรวมทุกรายการ แต่เขากลับทำผลงานได้แค่เพียงประตูเดียวเท่านั้น ฟังไม่ผิดครับประตูเดียวเท่านั้น!

มันจึงทำให้หลายฝ่ายคาดว่านักเตะคนนี้ กำลังพุ่งลงสู่การเป็น ‘ดาวดับ’ ซะแล้ว แต่เหมือนแสงเห็นความหวังได้โผล่ขึ้นที่ปลายอุโมงค์ เมื่อ บอร์นมัธ มองเห็นอะไรบางอย่างในตัว โซลันกี้ และยอมควักเงินถึง 19 ล้านปอนด์คว้าตัวเขามาร่วมทีม ในตลาดหน้าหนาวปี 2019 …


กลับมาเกิดใหม่กับ บอร์นมัธ

แน่นอนทุกคนรู้ดีว่า โซลันกี้ จะได้ก้าวมาเป็นหนึ่งในคีย์แมนคนสำคัญที่สุดของ เดอะ เชอร์รี่ส์ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าเส้นทางในช่วงแรกกับสโมสรปัจจุบันของเขา ช่างตรงข้ามกับคำว่าสวยหรู มันใช้เวลานานมากกว่าที่ โซลันกี้ จะทำประตูแรกให้กับ บอร์นมัธ

โซลันกี้ ต้องฟันฝ่าพยายามจับจังหวะการเล่น และเขาใช้เวลามากถึง 12 เดือนกว่าจะกลับมาทำประตูได้อีกครั้ง ในเกม เอฟเอ คัพ และต้องใช้เวลาถึง 18 เดือน ถึงจะกลับมาทำประตูใน พรีเมียร์ลีก ได้อีกครั้ง หรือใช้เวลามากถึง 38 นัด นับตั้งแต่ย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล

แต่เขามาฟอร์มดีบนเวทีลีกสูงสุดเมื่อสายไปแล้ว บอร์มัธ ต้องตกชั้นลงไปเล่นใน แชมเปี้ยนชิพ ในซีซั่น 2020/21 แต่อย่างน้อย ๆ มันก็กลายเป็นหนึ่งในข้อดีที่ทำให้ โซลันกี้ ได้เรียกคืนความมั่นใจ ในการเล่นสัปดาห์แล้ว สัปดาห์เล่า จนผลงานเของขาเริ่มกลับมาจุดติดแบบเมื่อสมัยเยาวชนอีกครั้ง

ไล่จากการยิง 15 ประตู กับ 11 แอสซิสต์ ในฤดูกาลแรกของตัวเขาในลีกรองของอังกฤษ และต่อด้วยผลงานที่พีคที่สุดในอาชีพ ในฤดูกาลที่ผ่านมา กับทำได้ถึง 29 ประตู กับ 7 แอสซิสต์ เป็นหัวใจหลักสำคัญที่พา บอร์นมัธ กลับสู่เวทีลีกสูงสุด

และยังการันตีความยอดเยี่ยมของ โซลันกี้ จากการติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปี แชมเปี้ยนชิพ ทั้งของ EFP และ PFA และยังยิงเป็นมากเป็นรองแค่ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช หรือเป็นถึงรองดาวซัลโวของลีกเลยนั่นเอง


กลับมาพิสูจน์ตัวเองใน พรีเมียร์ลีก

แม้ในทุกวันนี้ โซลันกี้ อาจจะยังไม่ใช่กองหน้าระดับท็อป เหมือนที่หลายคนเคยคาดหวังไว้ในอดีต แต่ปัจจุบันเขาก็สามารถก้าวข้ามมาจากจุดที่ใกล้เคียงที่สุดกับคำว่า ‘ดับ’ และกลายมาเป็นหนึ่งในผู้นำ หรือตัวแบกให้กับสโมสรในระดับ พรีเมียร์ลีก ได้

ในตอนนี้เขามีอายุ 25 ปีแล้ว ยิงให้สโมสร บอร์นมัธ นั้นครบ 50 ประตูไปแล้ว และตอนนี้โดยเฉพาะช่วงหลัง เขาเริ่มกลับมาพิสูจน์ผลงานตัวเองในลีกสูงสุดให้ทุกคนได้เริ่มจับตาอีกครั้ง กับผลงานการมีส่วนร่วมถึง 3 ประตู ใน 4 นัดหลังสุด

จนเขากลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ชาว แฟนตาซี พรีเมียร์ลีก เริ่มจับตามอง และบางคนก็เริ่มหยิบเขาเข้ามาใส่ในทีมเลยนะครับ หรือพูดกลาย ๆ ว่าเขาเริ่มกลายเป็นตัวความหวังในการทำแต้มและผลงานได้นั่นเอง

และต้องบอกว่าการกลับมาครั้งนี้ โซลันกี้ เป็นผู้ใหญ่ขึ้นชัดเจน เล่นเพื่อทีมมากขึ้น การันตีจากค่าสถิติการเป็นนักเตะที่มีการเล่นเพรสซิ่งมากที่สุดในสัปดาห์ที่ 6 ของฤดูกาล ในเกมพลิกชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 3-2 จนได้รับคำชมจาก แกรี่ โอนีล กุนซือของทีมว่า

“มันเป็นการยากที่จะยิงประตูในการเล่นระดับนี้ แต่เขายังทำงานหนัก แม้บางครั้งอาจไม่มีใครสังเกตเห็น” 

“เพราะถ้าคุณขอให้เขาเพรส เขาจะทุ่มสุดตัวเพื่อเพรส ถ้าบอกให้ครองบอล เขาก็จะทำ เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง เขาน่าจะเป็นกองหน้าที่ทำงานหนักที่สุดที่ผมเคยเห็นมา”

และใช่ครับ โจทย์การพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งเขา อาจไม่ใช่จำนวนประตู แต่เป็นทุกการเล่น, การทุ่มเทพยายามเพื่อให้ เดอะ เชอร์รี่ส์ ได้รอดพ้นจากการตกชั้น และคำตอบที่ว่านั้นจะเป็นยังไง ก็คงต้องรอดูไปยันจบฤดูกาล

แต่อย่างน้อย ๆ จากดาวรุ่งที่เกือบจะวูบดับสนิท แต่ก็กลับมาฉายแสงเป็นผู้นำให้กับสโมสรได้อีกครั้ง ก็นับว่าใจสู้และฝ่าฟันมาได้อย่างยอดเยี่ยมขนาดไหนแล้ว สำหรับ ‘โดมินิค โซลันกี้’ ครับ

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline