logo-heading

สุดท้ายกลายเป็น หงส์แดง ที่คว้า 3 แต้มสำคัญไปครอง พร้อมทั้งโชว์วิธีหยุดความร้อนแรงของ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เมื่อ โจ โกเมซ แนวรับตัวสำรองของ ลิเวอร์พูล โชว์ร่างทอง ประกบได้อย่างอยู่หมด จนได้รับคำชมไปทั่วทุกสารทิศ ไหนจะมีความเดือดระหว่างเกมด้วย เอาเป็นว่าไปดูประเด็นน่าสนใจที่เกิดขึ้นในเกมนี้กันเลย

- โจ โกเมซ ร่างทอง

ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ทุกคนคงทราบกันดีแล้วว่า อิบราฮิม่า โกนาเต้ ปราการหลังตัวหลัก อีกคน ได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อ พลาดลงสนามช่วยทีมแน่นอน ทำให้เกมรับ หงส์แดง ค่อนข้างมีปัญหาหนัก เพราะก่อนหน้านี้ มีทั้ง โจเอล มาติป และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็อยู่ในลิสต์อาการบาดเจ็บ

ด้วยเกมรับที่เต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บ ทำให้สาวก เดอะ ค็อป เป็นกังวลใจอย่างหนัก เพราะ เจมส์ มิลเนอร์ ต้องมายืนแบ็กขวาจำเป็น และ ด้วยอายุเยอะขนาดนี้ จะโดนฟิล โฟเด้น เผาเครื่องหรือเปล่า และ โจ โกเมซ เมื่อขยับมายืนคู่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ มันจะดีมากน้อยแค่ไหน เพราะต้องตามประกบ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ที่กำลังร้อนแรง

แต่ถึงกระนั้นตลอดทั้ง 90 นาที ต้องบอกว่าทั้ง เจมส์ มิลเนอร์ และ โจ โกเมซ ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ โดย ท่านรอง ไม่ได้โดนเผาเครื่องแต่อย่างใด ไม่ได้โดนเจาะง่ายๆให้เห็น และ เขาจะมีน้องๆอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ลงมาช่วยซ้อนอยู่ตลอด ส่วนเกมบุก มิลเนอร์ ก็ทำได้ยอดเยี่ยม เติมขึ้นไปครอสแบบได้ลุ้นหลายหน 

ส่วน โจ โกเมซ ต้องลุกขึ้น สแตนดิ้ง โอเวชั่น ให้เลยครับ นี่มันร่างทองของ โจ โกเมซ ชัดๆ เพราะเขาสามารถประกบ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ได้อย่างอยู่หมัด เรียกว่ายัดกองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ ใส่กระเป๋าไว้ได้เลย ถึงแม้จะมีโอกาสที่ ฮาแลนด์ ได้ส่องอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ ก็เป็นเขานี่แหละครับ ที่ทำให้ ฮาแลนด์ จนโชว์ฟอร์มไม่ออก

ถึงขั้นที่ น้าหัง คนพากย์เกมคู่นี้ ออกปากเลยว่า นี่มัน โจ โกเมซ ร่างทองชัดๆ โดยเจ้าตัวมีสถิติเกมรับที่ยอดเยี่ยม ทั้งสกัดจังหวะอันตราย 6 ครั้ง / ชนะการปะทะ 4 ครั้ง / แท็คเกิ้ลชนะ 3 ครั้ง และ ไม่มีใครเลี้ยงผ่านได้เลย

- VAR ช่วยชีวิต ลิเวอร์พูล

เดอะ ค็อป ที่แอนฟิลด์ เงียบสงัด เมื่อเข้าสู่นาที 53 เมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายตัดแนวรับไปให้กับ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ก่อนที่ อลิสซอน จะออกมารวบบอล แต่มันกระฉอกมาเข้าทาง ฟิล โฟเด้น ซ้ำเข้าไปซุกตาข่าย ชนิดที่แฟนบอล เดอะ ซิตี้เซ่น ได้เฮกันสนั่นลั่นทุ่ง

แต่ว่าผู้เล่น ลิเวอร์พูล วิ่งกรูกันเข้าไปหาผู้ตัดสิน เพราะมองว่าพวกเขาควรจะได้ฟาวล์ก่อนจะโดนยิงประตู ซึ่งตอนแรกภาพช้า พยายามจะถ่ายย้อนถึงเหตุการณ์ว่า เป็นจังหวะที่ ฮาแลนด์ ไปปั้มบอลจากมือ อลิสซอน หรือเปล่า ?

แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ครับ มันเป็นจังหวะก่อนหน้านั้น ที่ ฮาแลนด์ ใช้มือไปดึง ฟาบินโญ่ จนล้มลง โดยผู้ตัดสินวิ่งไปดูจอ VAR ข้างสนาม ก่อนจะเป่าให้ฟาวล์ พร้อมกับริบสกอร์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้ยังเสมอกันอยู่ 0-0

- ผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิล ทั้ง 2 ฝั่ง โชว์ฟอร์มแข่งกันน่าดู

ที่เห็นว่าเกมแลกกันโคตรสนุกขนาดนี้ แต่มีประตูเกิดขึ้นแค่ 1 ลูก ก็เพราะผลงานของผู้รักษาประตูของ 2 ทีม ทั้ง อลิสซอน เบ็คเกอร์ แห่ง ลิเวอร์พูล กับ เอแดร์ซอน โมราเอส นายทวาร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟช่วยทีมไว้ได้ หลายต่อหลายครั้ง

เริ่มจาก เอแดร์ซอน ถึงแม้จะต้องเสียประตู แต่กระนั้นเซฟสำคัญของเขา ที่ไม่ทำให้ทีมตกเป็นฝ่ายตามหลังในช่วงครึ่งหลังอย่างรวดเร็ว ก็ต้องเป็นจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กระชากหลุดเดี่ยว พยายามจะยิงแบบเล่นทางแล้ว แต่กระนั้น เอแดร์ซอน พุ่งปัดไว้ได้ปลายนิ้วแบบเหลือเชื่อ 

ส่วนทาง อลิสซอน ก็โชว์เซฟสำคัญไปหลายๆครั้ง โดยเฉพาะจากการหาโอกาสของ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ทั้งลูกโหม่งเต็มหัว หรือ ช็อตที่ได้ยิงด้วยเท้าซ้าย เขาก็สามารถพุ่งปัดเอาไว้ได้ นับเป็นโมเมนต์สำคัญที่ช่วยให้ หงส์แดง เก็บคลีนชีต

เมื่อฟอร์มดีทั้งคู่แบบนี้ เชื่อว่า ติเต้ กุนซือทีมชาติบราซิล ปวดหัวแน่นอน ว่าจะใช้ใครเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ในศึก ฟุตบอลโลก 2022 ประเทศกาตาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็น อลิสซอน ที่ได้รับโอกาสลงเฝ้าเสามากกว่า

- โม ซาลาห์ เริ่มกลับสู่ฟอร์ม

ช่วงต้นซีซั่น โม ซาลาห์ ต้องถ่างตัวเองออกไปเล่นริมเส้น และ รับบทบาทเป็นตัวป้อน มากกว่า ยิงประตู ทำให้ผลงานของเขาตกลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยก่อนหน้าเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาเพิ่งยิงในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปได้แค่ 2 ประตู เท่านั้น และ ยิงไม่ได้มา 5 เกมในลีก ติดต่อกันแล้ว

แต่ตอนนี้ บังโม คงได้รับมอบหมาย ให้กลับมาเล่นบทบาทแบบเดิม คือขยับเข้ามาอยู่ในกรอบเขตโทษมากขึ้น หลายๆครั้งทำหน้าที่เป็นเหมือนกองหน้าตัวเป้าด้วยซ้ำ นั่นทำให้โอกาสการจบสกอร์ของ ซาลาห์ เยอะมากขึ้นกว่าหลายเท่า

เกมนี้ ซาลาห์ โอกาสเยอะมาก แต่ก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา จนกระทั่งการใช้เกมโต้กลับเร็ว เริ่มจาก อลิสซอน ที่ออกมารับบอลจากลูกฟรีคิกของ เควิน เดอ บรอยน์ ก่อนจะเปิดยาวไปให้กับ บังโม พลิกตัวหนี เจา กานเซโล่ ก่อนกระชากหลุดเดี่ยว ไปยิงผ่านมือ เอแดร์ซอน เข้าไป เท่ากับว่า 5 นัดหลังสุด ซาลาห์ ซัดใส่ แมนฯ ซิตี้ ไปแล้ว 3 ประตู โดยก่อนหน้านี้ก็เพิ่งสร้างสถิติยิงแฮตทริคเร็วสุด ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ หงส์แดง บุกไปถล่ม กลาสโกว์ เรนเจอร์ส 7-1

- รีแอคชั่นเดือดของ 2 กุนซือ

หลังจากที่ VAR ริบสกอร์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จาก ช็อตที่ โฟเด้น ส่งบอลเข้าไปซุกตาข่ายได้แล้ว ทำเอา เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่พอใจอย่างหนัก ถึงกับประชดด้วยการทำไม้ทำมือขอเสียงจากเหล่า เดอะ ค็อป เพราะเขาไม่เห็นด้วย โดยมองว่า เรือใบสีฟ้า ควรจะได้ประตูขึ้นนำ 

หลังจบเกม เป๊ป เลยให้สัมภาษณ์แบบดุเดือด เมื่อถูกถามว่า "คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับลูกที่โดนริบสกอร์" โดย เป๊ป ตอบกลับว่า "ก็เพราะที่นี่คือแอนฟิลด์ ยังไงล่ะ ?"

ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ นี่ก็มีรีแอคชั่นดุเดือดไม่แพ้กัน มีหลายจังหวะ ที่เขาออกอาการโกรธเป็นฟืนเป็นไฟใส่ผู้ตัดสิน เพราะไม่เห็นด้วยที่ไม่ยอมเป่าฟาวล์ เริ่มจากช็อตที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดน โรดรี้ แซะด้านหลัง แต่ไม่ได้ฟาวล์ จนเกือบเสียประตู

ส่วนท้ายเกม เป็นประเด็นเดือด เมื่อ คล็อปป์ ไม่พอใจกับคำตัดสิน ที่ไม่ยอมให้ฟาวล์กับ ซาลาห์ ทั้งๆที่โดน แบร์นาร์โด้ ซิลวา ดึงเสื้อแทบหลุด ซึ่ง คล็อปป์ ถึงขั้นฟิวส์ขาด ไปตะคอกใส่หูไลน์แมนแบบคอแข็งเป็นเอ็น สุดท้าย แอนโธนี่ เทย์เลอร์ ควักใบแดง ไล่ให้ออกไปจากตรงซุ้มม้านั่งสำรอง ทันที

- หงส์แดง ชนะก็จริง แต่เซ่น โชต้า

ทุกอย่างช่างดูหอมหวานไปหมด สำหรับ ลิเวอร์พูล เพราะเป็นการเก็บ 3 แต้มสำคัญ เหนือคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้  แต่กระนั้นความเสียหายที่พวกเขาต้องเจอ คืออาการบาดเจ็บของ ดิโอโก้ โชต้า แนวรุกคนสำคัญ

เพราะช่วงทดเวลาบาดเจ็บ โชต้า มีปัญหาเดี้ยงเกิดขึ้น ชนิดที่ลุกขึ้นมาเล่นต่อไม่ไหว และ ต้องใช้เปลหามออกจากสนาม ซึ่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ยังไม่รู้ว่าหนักมากแค่ไหน แต่ที่แน่ๆไม่พร้อมลงเจอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ต้องภาวนาไม่ให้เป็นอะไรมาก แต่ล่าสุดมีรายงานว่าอาจรุนแรงถึงขั้นพลาด ฟุตบอลโลก 2022 ประเทศกาตาร์ จะเริ่มขึ้นในเดือนหน้านี้แล้ว

- หลังจบเกมนี้ ส่งผลอะไรบ้างกับ ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้

แน่นอนว่าชัยชนะเกมนี้ของ ลิเวอร์พูล มันช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับพวกเขามากขึ้นหลายขุม และ ทำให้การลุ้นติดท็อปโฟร์ของ หงส์แดง ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยก่อนเกมจะเริ่มขึ้น หล่นไปรั้งอันดับ 12 ของตาราง แต่ตอนนี้ขยับมาอยู่อันดับ 8 มีอยู่ 13 คะแนนจาก 9 นัด ตามหลัง เชลซี 6 แค่คะแนน นับเป็นช่องว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าวัดจากการแข่งขันที่ยังอีกยาวไกล

ส่วนเรื่องการลุ้นแชมป์ เชื่อว่า หงส์แดง คงไม่ได้มองแบบนั้นอีกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ออกมายกธงขาวยอมแพ้เรียบร้อย ฉะนั้นการลุ้นท็อปโฟร์คือภารกิจสำคัญที่ ลิเวอร์พูล ต้องทำให้ได้เป็นอันดับแรก โดยชัยชนะนัดนี้ คงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ การพ่ายแพ้นัดแรกในเกมลีกซีซั่นนี้ มันก็ส่งผลในการไล่ตาม อาร์เซน่อล จ่าฝูง เพราะต่อให้ เรือใบสีฟ้า จะรั้งอันดับ 2 เหมือนเดิม แต่ทว่าก็ไล่ตาม ไอ้ปืนใหญ่ เป็น 4 คะแนน แล้ว โดยแข่งเท่ากันที่ 10 นัด

การพ่ายแพ้ถือเป็นเรื่องเสียหายหมดแหละครับ แต่เชื่อว่ามันจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับ เรือใบสีฟ้า มากนัก เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา แถมไม่เห็นพวกเขาแพ้ติดต่อกันเลย และ มักกลับมาได้เสมอในเกมต่อไป ลืมเกมแพ้ ลิเวอร์พูล ให้เร็วที่สุด นัดหน้ามีภารกิจกับ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน รออยู่ เพื่อทำแต้มไล่ล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ต่อไป

ฮาย ฮาวดี้-
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline