logo-heading

เนื่องจากมีผู้เล่นบาดเจ็บเต็มทีมไปหมด โดยเฉพาะบรรดาแนวรุก ดังนั้นต่อให้เจอกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ จะไม่ใช่งานง่ายอย่างแน่นอน

ถึงแม้จะโรเตชั่นนักเตะ แต่ คล็อปป์ ก็ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก และสุดท้ายมันก็ส่งผลอย่างหนักต่อ หงส์แดง เพราะ พวกเขาดีแต่ป้อ กลับล่อไม่เป็น ก่อนจะโดน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมบ๊วยของตาราง เปิดบ้านตบไปด้วยสกอร์ 1-0 

เกมนี้แฟนบอล หงส์แดง ถึงกับหัวร้อน เพราะความพ่ายแพ้มันสะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆอย่าง เอาเป็นว่าเกมนี้มีอะไรต้องพูดถึงกันบ้าง ไปติดตามพร้อมๆกันเลยครับ

1. ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมพิการ

อาจจะฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้าง แต่อาการบาดเจ็บกำลังส่งผลอย่างร้ายแรงต่อ ลิเวอร์พูล จริงๆครับ เพราะก่อนเกมกับ ฟอเรสต์ จะเริ่มขึ้น พวกเขาต้องมาเจอกับข่าวร้ายอีกระลอก เมื่อหมดสิทธิ์ใช้งาน ดาร์วิน นูนเญซ ที่มีปัญหาเดี้ยงก่อนเกม รวมถึง ติอาโก้ อัลคันตาร่า ก็มาติดเชื้อที่หู ไปอีกคน

กลายเป็นว่าตอนนี้ หงส์แดง มีลิสต์นักเตะบาดเจ็บเต็มทีมไปหมด ไม่ว่าจะเป็น ดิโอโก้ โชต้า, หลุยส์ ดิอาซ, นาบี เกอิต้า, โจเอล มาติป, อิบราฮิม่า โกนาเต้, อาร์ตูร์ เมโล่ และ ก็อีก 2 รายล่าสุดนั่นคือ นูนเญซ กับ ติอาโก้

ซึ่งการขาด นูนเญซ กับ ติอาโก้ ทำให้ตัวรุกของ ลิเวอร์พูล แทบไม่เหลือแล้ว จำเป็นต้องส่ง 3 ดาวรุ่งอย่าง ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ลงมาเล่นพร้อมๆกับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ เคอร์ติส โจนส์ ส่วนข้างหน้ามีแค่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เท่านั้น โดยพอ ฟีร์มิโน่ ลงไปต่ำ ทำให้ บังโม ค่อนข้างโดดเดี่ยว และ ต้องปะทะกับเซ็นเตอร์แบ็กคู่แข่งแบบลำพัง

ดังนั้นต่อให้ ลิเวอร์พูล จะครองบอลมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่พวกเขาแทบไม่สามารถใช้ลูกโอเพ่น เพลย์ เจาะแนวรับ ฟอเรสต์ ได้เลย ส่วนใหญ่ต้องใช้ลูกครอส หรือ ลูกคอนเนอร์เล่นงานคู่แข่งเท่านั้น เรียกว่าอาการบาดเจ็บที่เป็นตัวหลักของทีม ส่งผลอย่างร้ายแรงกับ ลิเวอร์พูล

2. อะไหล่สำรองไม่มีประสิทธิภาพ

บางทีก็เหนื่อยใจแทน เจอร์เก้น คล็อปป์ เหมือนกันครับ เพราะในช่วงที่สกอร์ตามหลัง เขาพยายามส่งตัวสำรองลงมาเพื่อแก้เกม แต่คนที่ลงมาแล้วดูจะมีส่วนร่วมกับเกมมากที่สุด คงต้องยกให้กับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

แต่มีอีกคนที่ลงมาแล้ว ไม่สามารถปรับเปลี่ยน หรือ ช่วยแก้เกมให้ ลิเวอร์พูล ดีขึ้นได้เลย นั่นก็คือ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่เพิ่งหายเจ็บกลับ ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่าง ส่วน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็เหมือนลงมาช่วยเก็บแดนกลาง ไม่ได้สกิลวิเศษวิโสอะไร ในการจ่ายแบบคิลเลอร์พาส

นั่นแหละครับ ด้วยความที่ตัวหลักเจ็บกันเพียบ สำรองที่ใช้ได้ 5 คน แต่ คล็อปป์ เลือกส่งลงสนามแค่ 3 คน เท่านั้น เพราะที่เหลือก็เป็นนักเตะกองหลัง, ผู้รักษาประตู และ เหล่าดาวรุ่ง เรียกง่ายๆว่าตัวที่อยู่ ณ ตอนนี้ เป็นชุดที่พร้อมแพ้ได้ทุกทีม ยิ่งถ้าเจอเกมอึดอัด หรือ ตามหลัง แทบจะหายใครลงมาเปลี่ยนเกมไม่ได้เลย

จริงๆควรโดนมากกว่า 1 ลูกด้วยซ้ำ เพราะ ฟอเรสต์ มีโอกาสโต้กลับหลายครั้ง หลังจาก ลิเวอร์พูล ยิงประตูตีเสมอไม่ได้ แต่ก็เป็น อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ช่วยชีวิตไว้ได้หลายต่อหลายครั้ง ทว่าการเซฟเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีแต้มให้กับทีม

3. ดีน เฮนเดอร์สัน ฮีโร่ ฟอเรสต์

ตลอด 90 นาที ดีน เฮนเดอร์สัน มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการช่วย ฟอเรสต์ เอาชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 เพราะเขาโชว์เซฟสำคัญให้กับทีม ได้มากถึง 7 ครั้ง อย่างในครึ่งแรก ก็มีช็อตที่ คาร์วัลโญ่ เกี่ยวบอลลงอย่างสวยในกรอบเขตโทษ แต่ ดีน ออกมาถึงตัวเร็วมาก และ ใช้ตัวป้องกันเอาไว้ได้

ส่วนซูเปอร์เซฟ ที่ทำให้ ฟอเรสต์ เก็บ 3 คะแนน เลยก็คือ ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ หงส์แดง ได้ลูกเตะมุมทางด้านขวา เปิดเข้าหัว เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้ขึ้นโขกคนเดียว แบบเต็มกบาล บอลกดลงพื้น พุ่งเหมือนจะเสียบตาข่าย แต่ว่าก็เป็น ดีน เฮนเดอร์สัน ที่ล้มปัดมือเดียว ป้องกันเอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ

ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นมาดีใจแบบสุดขีด เพราะมั่นใจว่าการเซฟลูกนี้ จะทำให้ ฟอเรสต์ เก็บ 3 คะแนนอย่างแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากผู้ตัดสินเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน เขาก็ได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปโดยปริยาย

4. ผลแพ้ชนะ สำคัญไฉน

สำหรับ ลิเวอร์พูล การพ่ายแพ้นัดนี้ เหมือนต้องถอยกลับไปจุดเริ่มต้นอีกครั้ง บางทีการชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาด้วยสกอร์ 1-0 ดูจะไร้ความหมายไปเลย เพราะการลุ้นท็อป 4 ซีซั่นนี้ กลายเป็นเรื่องลำบากอีกแล้ว เพราะที่จริงพวกเขาควรจะต้องเก็บ 3 คะแนน ด้วยซ้ำ เนื่องจากมันเป็นวีคที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี ต้องมาห้ำหั่นกันเอง

แต่กลายเป็นว่า หงส์แดง ชิงตัดหน้าแพ้ไปก่อนซะอย่างงั้น ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังอยู่แค่อันดับ 7 แข่ง 11 นัด มีอยู่ 16 คะแนน ถึงแม้จะตามหลัง เชลซี เพียงแค่ 5 คะแนน แต่มันก็ไม่มีอะไรการันตีเลยว่า นับจากนี้ลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ จะไม่พลาดอีก เรียกว่าช่วงนี้พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก โดยเฉพาะเรื่องอาการบาดเจ็บ ดังนั้นถ้ายังผลการแข่งขันยังไม่เป็นใจแบบนี้อีก โอกาสลุ้นท็อปโฟร์จะยากเท่าตัว

ขณะที่ ฟอเรสต์ การเปิดบ้านเอาชนะ ลิเวอร์พูล นับเป็น 3 แต้มใหญ่จริงๆ เพราะก่อนเกมจะเริ่มขึ้นพวกเขาอยู่บ๊วยของตาราง มีเพียงแค่ 6 คะแนน แต่พอเอาชนะ หงส์แดง ทำให้พวกเขาลืมตาอ้าปากได้ทันที แม้จะขยับมาแค่ 1 อันดับ ยังอยู่โซนตกชั้น แต่มีคะแนนเท่ากับโซนปลอดภัยแล้ว

การได้ 4 คะแนน จาก 2 นัดที่ผ่านมา สำหรับ เจ้าป่า มันเป็นสัญญาณที่ดีว่า การซื้อแข้งหน้าใหม่ประมาณ 22 คน เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ไม่ได้เปล่าประโยชน์ และ ยังมีโอกาสเต็มที่ที่จะอยู่รอดปลอดภัยเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องดูกันยาวๆ

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline