logo-heading

วันนี้จะพาไปย้อนดูเส้นทางความสำเร็จของทีมชาติเยอรมัน กับการคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 ชนิดที่ทำเอาเจ้าภาพอย่าง บราซิล น่ำตาตกในกันทั้งประเทศ

- เปิดหัว ฟุตบอลโลก ด้วยความฮือฮา

ปัดฝุ่นความทรงจำกันเล็กน้อย กับนัดเปิดสนาม ฟุตบอลโลก 2014 ของทีมชาติเยอรมัน พวกเขาเริ่มต้นด้วยผลงานที่แฟนบอลแซ่ซ่องกันถึงความยอดเยี่ยม เพราะ โยอัคคิม เลิฟ โชว์ให้เห็นสไตล์การเล่นที่สวยงาม, ดุดัน และ รวดเร็ว การเล่นบอลภาคพื้นดิน ทำชิ่งกันไม่กี่จังหวะ สามารถจบสกอร์ได้เลย

ด้วยความที่ เยอรมัน วางรากฐานวงการลูกหนังมาอย่างยาวนาน ผลงานยุคใหม่ กู่ก้องมาตั้งแตา เวิลด์ คัพ 2006 ใช้พวกดาวรุ่งเมื่อครั้ง ฟุตบอลโลก 2010 จนกลายเป็นสตาร์แห่งวงการลูกหนังหลายคน และ ทุกอย่างมันก็ผลิดอกออกผล เมื่อมาถึง เวิลด์ คัพ 2014

นัดเปิดหัววันนั้น นับเป็นซูเปอร์บิ๊กแมตช์ เพราะ เยอรมัน ปะทะกับ โปรตุเกส ซึ่งนำมาโดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่อย่างที่บอกครับ อินทรีเหล็ก ชุดนั้น แข็งแกร่งทุกตำแหน่ง อย่างผู้รักษาประตูเป็น มานูเอล นอยเออร์ กองหลังมีทั้ง มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์, ฟิลลิปป์ ลาห์ม และ เจโรม บัวเต็ง

ส่วนกองกลาง ประกอบไปด้วยพวก โทนี่ โครส, เมซุต โอซิล, ซามี่ เคดิร่า และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ขณะที่ตัวรุกนำมาโดย โธมัส มุลเลอร์, มาริโอ เกิมเซ่ และ มิโรสลาฟ โคลเซ่ ดังนั้นการเจอกับโปรตุเกส คอนข้างสูสี ไม่มีใครเป็นรองใคร

แต่ว่าสุดท้าย เยอรมัน โชว์ความโหดเหี้ยม ไล่เฆี่ยน โปรตุเกส แบบไม่ยั้งมือ ด้วยการไล่ถล่มไปด้วยสกอร์ 4-0 พร้อมการทำแฮตทริคของ โธมัส มุลเลอร์ ประเดิม 3 แต้มอย่างสวยสดงดงาม ถึงแม้ว่านัดต่อมาจะไปสะดุดเสมอกับ กาน่า 2-2 แต่นัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม ก็เฉือนเอาชนะ สหรัฐอเมริกา ไปได้ 1-0 ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฐานะอันดับ 1 ของกลุ่ม

- เยอรมัน หวุดหวิดไม่ผ่านเข้ารอบลึกๆ

ด้วยความที่ เยอรมัน โชว์ฟอร์มสวยหรูในรอบแบ่งกลุ่ม โดยเฉพาะการถล่ม โปรตุเกส 4-0 ดังนั้นพวกเขาถูกคาดหมายว่าคงการันตีผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ได้แน่นอน เนื่องจากรอบ 16 ทีม คู่แข่งเป็นเพียงแค่ แอลจีเรีย

แต่ขึ้นชื่อว่า ฟุตบอลโลก รอบน็อคเอาท์ ไม่มีอะไรเป็นงานง่ายทั้งนั้น เพราะ แอลจีเรีย ใช้ความเร็วของแนวรุก ปั่นป่วนแนวรับ อินทรีเหล็ก ได้ดีเกินคาด ชนิดที่ 45 นาทีแรก แอลจีเรีย ควรได้ประตูขึ้นนำด้วยซ้ำ แต่ไม่เฉียบคมกันเอง บวกกับ มานูเอล นอยเออร์ โชว์เซนต์ ออกมาตัดบอลนอกกรอบได้หลายจังหวะ ทำให้ อินทรีเหล็ก ยังไม่ต้องเจองานยากลำบากกว่าเดิม

ครึ่งหลัง เยอรมัน ยกระดับเกมของตัวเองขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถทำประตูใส่ แอลจีเรีย ได้เลย บอลแลกกันสนุกมาก แต่จบ 90 นาที ไม่มีสกอร์  ต้องไปต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที หลังเริ่มช่วง เอ็กซ์ตร้า ไทม์ ไม่นาน ประตูแรกของเกมก็เกิดขึ้นจาก อันเดร เชือร์เล่ เป็นประตูคลายความกดดันให้กับ เยอรมัน ได้เสียที

จากนั้นก่อนเข้าสู่นาทีสุดท้ายช่วงต่อเวลาพิเศษ อินทรีเหล็ก มาบวกประตูที่ 2 เพิ่ม จากลูกซ้ำของ เมซุต โอซิล แต่ แอลจีเรีย ก็ไม่ยอมมายิงตีไข่แตกช่วงทดเจ็บไล่มา 2-1 แต่ก็ไม่ทันแล้วครับ เพราะ เยอรมัน ปิดเกมผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ได้สำเร็จ ไปเจอกับ ทีมชาติฝรั่งเศส

การเจอ ฝรั่งเศส เหมือนเป็นการวัดเลยว่า หัวกะทิ ของยุโรป ใครเจ๋งกว่ากันในชั่วโมงนั้น ซึ่งขุนพล ตราไก่ คุมทัพมาโดย ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ มีลูกทีมคนสำคัญอย่าง คาริม เบนเซม่า, ปอล ป็อกบา และ อ็องตวน กรีซมันน์ เป็นต้น 

ประตูโทน ประตูเดียวที่เกิดขึ้นในเกมนี้ มาจากช็อตที่ โทนี่ โครส เปิดฟรีคิกครอสเข้าไปในกรอบเขตโทษ ให้กับ มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ โหม่งแบบเสยๆเสียบใต้คานให้กับ เยอรมัน ตั้งแต่นาทีที่ 13 ซึ่งหลังจากนั้นเกมก็เปิดทันที เพราะ ฝรั่งเศส ต้องการประตูตีเสมอให้เร็วที่สุด

แต่ มานูเอล นอยเออร์ ก็โชว์เซฟมือระบบไปหลายครั้ง รวมถึงกองหลัง เยอรมัน ก็ช่วยกันบล็อคลูกยิงของ ฝรั่งเศส ไว้ได้หลายลูก ก่อนสุดท้ายจะจบลงด้วยประตูชัยชอง ฮุมเมิ่ลส์ พา อินทรีเหล็ก ผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ชนิดที่แฟนบอล อินทรีเหล็ก คงจะเฮกันลั่นทุ่ง ปนความรู้สึกที่ต้องเป่าปาก ผ่านเข้ารอบมาได้แบบหวุดหวิด

- ทำคน บราซิล ร้องไห้ทั้งประเทศ

ในรอบรองชนะเลิศ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของทีมชาติเยอรมัน ในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2014 เลยล่ะครับ เพราะพวกเขาผ่านเข้ามาเจอกับ บราซิล เจ้าภาพ แน่นอนว่าเรื่องเสียงเชียร์ และ แฟนบอลที่จะเข้ามาชมที่สนาม อินทรีเหล็ก ไม่มีทางสู้ได้แน่นอน

แต่กระนั้นเรื่องความพร้อมของทีม และ ความแข็งแกร่ง กลายเป็น ทีมชาติเยอรมัน ของ โยอัคคิม เลิฟ ที่ดูเหนือกว่าขุนพล แซมบ้า เนื่องจากเจ้าภาพ ขาดขุมกำลังสำคัญเบอร์ 1 อย่าง เนย์มาร์ ที่บาดเจ็บกระดูกสันหลังแตก จากการโดน ฆวน ซูนิก้า ดาวเตะจาก โคลอมเบีย เข่าลอยเข้าเต็มๆจากรอบที่ผ่านมา

การขาด เนย์มาร์ ทำให้ประสิทธิภาพของ บราซิล ถูกลดทอนไปอย่างมาก ผิดกับ เยอรมัน ที่มีขุมกำลังเต็มสูบ ไม่ว่าจะเป็น มานูเอล นอยเออร์, มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์, ฟิลลิปป์ ลาห์ม, โทนี่ โครส, เมซุต โอซิล หรือ โธมัส มุลเลอร์ เป็นต้น

สาเหตุที่บอกว่า เยอรมัน ทำให้ บราซิล ต้องร้องไห้ทั้งประเทศ ก็เพราะพวกเขาไล่อัด บราซิล แบบเอาท์คลาส โดย 45 นาทีแรก ขุนพล อินทรีเหล็ก ก็ออกนำไปถึง 5-0 เรียกว่าเกมจบตั้งแต่เสียงนกหวีดยังไม่เป่าจบเกม เนื่องจาก แซมบ้า ไม่มีทางสู้จริงๆ และ ไม่มีตัวพลิกเกมเลย มีเพียงพวก เฟร็ด, ฮัลค์ หรือ ออสการ์ เท่านั้น

ถ้าวันนั้น เยอรมัน ไม่ถอดตัวหลักออกจากสนาม เชื่อว่าสามารถยิงได้ถึง 10 ลูก เพราะ บราซิล บุกหนักจนไม่คิดเรื่องเกมรับอีกแล้ว ส่วนกองเชียร์ ก็กลายเป็นแช่งให้ แซมบ้า โดนยิงแบบเลข 2 หลักไปเลย

สุดท้ายครึ่งหลัง อันเดร เชือร์เล่ ลงมาเป็นสำรอง และ ยิงอีก 2 ประตู ให้ เยอรมัน ขึ้นนำ 7-0 โดยท้ายเกม บราซิล มาตีไข่แตกแก้อาย ไล่มา 7-1 จาก ออสการ์ แต่มันไม่มีผลอะไรแล้ว กลายเป็น เยอรมัน ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศแบบยิ่งใหญ่ และ สมศักดิ์ศรี

- เยอรมัน คว้าแชมป์โลก

เชื่อว่า นัดชิงชนะเลิศ เวิลด์ คัพ 2014 ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลทั่วโลก เพราะเหตุการณ์มันเพิ่งผ่านมาไม่นาน มันเป็นการชิงโทรฟี่ เวิลด์ คัพ ระหว่างทีมชาติเยอรมัน ปะทะ ทีมชาติอาร์เจนติน่า ที่เต็มไปด้วยอรรถรสความสมหวัง และ ความผิดหวัง 

ตลอด 90 นาที เต็มไปด้วยความหวาดเสียว นั่งกันก้นไม่ติดเก้าอี้ โดยเฉพาะสาวก อินทรีเหล็ก ที่จวนเจียนจะเสียประตูหลายครั้ง ถ้าจำกันได้ มันจะมีวลีที่ว่า ถ้านัดชิงชนะเลิศวันนั้น กอนซาโล่ อิกวาอิน กองหน้า ฟ้า-ขาว ไม่ยิงทิ้งยิงขว้าง ลิโอเนล เมสซี่ อาจได้ขึ้นชื่อเรื่องการคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก มาแล้วก็เป็นได้

ถึงแม้ว่า เยอรมัน จะเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่พวกเขาก็ต่อสู้แบบถวายหัว เหมือนว่าเกมนี้จะเป็นเกมสุดท้ายของชีวิต ทุกคนสามัคคีกัน และ ช่วยกันปิดแนวรับให้มันรัดกุมมากขึ้น เพื่อไม่ให้ ลิโอเนล เมสซี่ และ ผองเพื่อน สร้างความอันตรายได้อีก ถึงขั้นที่มีสื่อยกย่อง เจโรม บัวเต็ง โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดครึ่งหนึ่งของอาชีพค้าแข้ง

ด้วยความที่เกมมันกดดันหนัก และ ต้องวิ่งไล่กดดันตลอด เสือเฒ่าอย่าง มิโรสลาฟ โคลเซ่ เริ่มออกอาการล้า ทำให้ โยอัคคิม เลิฟ ตัดสินใจเปลียนตัวเอา มาริโอ เกิทเซ่ ลงสนามมาในนาทีที่ 88 ซึ่งการเปลี่ยนตัวครั้งนี้ ได้ขีดเขียนหน้าประวัติศาสตร์ลงบนศาวดารลูกหนัง เยอรมัน

เพราะจากการเสมอ 0-0 ต้องไปต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที เรียกว่าเป็น 30 นาที ที่ทั้งอึดอัด และ เหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ตรงตาตุ่ม เนื่องจากทั้ง เยอรมัน และ อาร์เจนติน่า มีโอกาสยิงประตูทั้งคู่ แต่ก็ยังซัดกันไม่ได้ ดังนั้น อีกเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ทุกอย่างจะต้องไปตัดสินกันที่การดวลจุดโทษอยู่แล้ว 

อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น นาที 113 มาริโอ เกิทเซ่ กลายเป็นซูเปอร์ซัพ ตวัดบอลผ่านมือ เซอร์คิโอ โรเมโร่ เข้าไปซุกตาข่ายได้สำเร็จ พร้อมกับเป็นประตูชัยพา อินทรีเหล็ก คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 ไปอย่างดราม่า และ ยิ่งใหญ่

นี่คือโมเมนต์เด่นๆของทีมชาติเยอรมัน ตลอดเส้นทางในการคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 มาครอง อย่างสมศักดิ์ศรี แต่เหมือนว่าผลงานที่พวกเขาสร้างขึ้นมาตลอดทัวร์นาเมนต์ ดูเหมือนจะถูกขโมยซีนด้วยบรรดาแฟนสาวของแต่ละคน ที่น่ารักโดนใจแฟนบอลเหลือเกิน โดยเฉพาะแฟนของ ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ ซึ่งกลายเป็นที่ถูกพูดถึงแบบชั่วข้ามคืน

ส่วน ฟุตบอลโลก 2022 จะมีอะไรน่าติดตาม อีกเพียงแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์ เราคงได้เห็นความสนุกกันแน่นอนครับ

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline