จะว่าไปก็ไม่มีทางเลยเนอะ แค่จะเบียดให้พ้นร่างเงา คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เครื่องจักรถล่มประตู เพียงคนเดียว ก็ยังดูห่างกันแบบไม่เห็นฝุ่น โอกาสได้ยืนหน้าบัลลังค์แบบนั้นบ้าง คงเป็นเรื่องไกลเกินฝัน
ครั้งหนึ่งในวันที่ โรนัลโด้ คว้า บัลลง ดอร์ เขายืนถ่ายรูปเด่นสง่า ร่วมกับ โทนี่ โครส, ฮาเมส โรดริเกซ และ เซร์คิโอ รามอส ที่มีรางวัลการันตีความยอดเยี่ยม ส่วน เบนเซม่า นะเหรอ ? เขาได้แต่ยืนฉีกยิ้ม ปรบมือยินดีเพื่อนๆอยู่ด้านหลัง
แต่คุณเชื่อคำนี้ไหมครับ ทุกคนย่อมมีเวลาของตัวเอง และ ในวันที่ เบนเซม่า ต้องขึ้นมาเป็น เดอะ แบก ให้กับ มาดริด ก็สามารถทำมันได้ด้วย 2 เท้าของเขาเอง โดยเฉพาะการพา ราชันชุดขาว เถลิงบัลลังค์แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครอง
ในวัย 34 ปี ช่วงอายุ ที่อาจไม่มีใครคาดคิดอีกแล้วว่า เบนเซม่า จะพุ่งพรวดขึ้นมาแบบสุดขีด สถิติซัลโว 44 ประตู จากการลงเล่น 46 นัด ทุกรายการ เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เป็นอะไรที่โคตรเว่อ เขาไม่ได้ยิงประตูใส่ทีมไก่กา หรือ รองบ่อนอะไรพวกนั้นหรอกนะครับ โดยเฉพาะเวที ยูซีแอล เขาซัลโวใส่ทีมยักษ์ใหญ่มาเพียบ
- รอบ 16 ทีมสุดท้าย
คาริม เบนเซม่า ซัดแฮตทริคให้ มาดริด ในเวลาแค่ 17 นาที พลิกนรกกลับมาเอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 3-1 พาทีมผ่านเข้าสู่รอบต่อไปอย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่รูปเกม มาดริด ครึ่งแรกสู้ไม่ได้เลย
- รอบ 8 ทีมสุดท้าย
คาริม เบนเซม่า ยังซัดแฮตทริคใส่ เชลซี เหมือนเดิม ในเกมพา มาดริด บุกไปเอาชนะถึงถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ 3-1 ถึงแม้ว่า มาดริด จะมาโดน สิงห์บลูส์ ยิงที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ด้วยสกอร์เดียวกัน 3-1
แต่กระนั้นก็เป็น เบนเซม่า คนดีคนเดิมนี่แหละครับ ที่โหม่งประตูช่วงต่อเวลาพิเศษ ให้ มาดริด ไล่มา 3-2 แต่มันก็ดีพอทำให้สกอร์รวมพา ราชันชุดขาว ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ
- รอบ 4 ทีมสุดท้าย
คาริม เบนเซม่า ก็ยังคงเป็น เดอะ แบก ของทีมอยู่เหมือนเดิม เพราะในเกมนี้ทำท่าว่า มาดริด จะบุกไปโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไล่ยำ ก็เป็นเขาคนนี้ ที่ยิง 2 ประตู ทำให้ มาดริด พ่ายแพ้กลับมาแค่ 3-4
ขณะที่เกม 2 ที่ สังเวียน ซานติอาโก้ เบร์นาเบว นั้น 90 นาทีแรก จบสกอร์ที่ แมนฯ ซิตี้ นำ มาดริด 1-0 ต้องไปต่อเวลาพิเศษ ก็เป็น เบนเซม่า ยิงตอกฝาโรง เอาชนะไป 3-1
ถึงแม้ว่านัดชิงชนะเลิศ ที่สามารถเอาชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 เขาจะไม่ได้ทำประตู แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในรอบที่ผ่านมาเขาคือคนสำคัญจริงๆ 10 ประตู จาก 7 นัด นับจากรอบน็อคเอาท์ โคตรจะไม่ธรรมดา
แต่กว่าที่เขาจะก่าวมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ เพราะเขาไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง เนื่องจากสมัยอดีต เขาเคยอยู่ในสถานะที่ไม่สำคัญมาก่อน
เพราะย้อนกลับไปซีซั่นแรกของ เบนเซม่า กับ มาดริด เขามีสถานะเป็นเหมือนอะไหล่สำรอง ได้ลงสนามบนเวที ลา ลีกา สเปน ถึง 27 นัดก็จริง แต่ออกสตาร์ทเป็น 11 คนแรก แค่ 14 นัด แถมทำสกอร์ได้เพียงแค่ 8 ประตู
ด้วยผลงานที่ไม่เข้าตา สวนทางกับความคาดหวัง ทำให้ เบนเซม่า ถูกวิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่า "หรือนี่จะเป็นการซื้อตัวที่ล้มเหลวอีกครั้ง เหมือนอย่างที่ มาดริด เคยซื้อ นิโกล่าส์ อเนลก้า เข้ามาร่วมทีม"
แต่ถ้า เบนเซม่า ย่อท้อต่อโชคชะตา ไม่ยอมปรับเปลี่ยนตัวเอง ก็คงอยู่กับ มาดริด ได้ไม่นานกรอกครับ
จากยอดดาวยิงสมัยอยู่ ลียง กลายมาเป็นนักเตะที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อทีม ไม่ต้องยิงประตูเยอะเป็นกอบเป็นกำเหมือนเดิม แค่มีส่วนร่วมให้ทีมกระซวกคู่แข่งได้ก็เพียงพอ
ให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้ฉายแวว ทำหน้าที่หลักในการยิงประตู
ต่อให้ในช่วงที่ มานูเอล เปเยกรินี่ ทำหน้าที่กุนซือ เบนเฟซม่า ไม่ได้รับโอกาสมากนัก แต่พอเริ่มมาเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง มีผลงานซัลโวไป 21 ประตู ซีซั่น 2011-12 ก่อนจะมายึดตัวหลักลงสนามแบบเต็มตัวให้กับ มาดริด ก็คือยุค คาร์โล อันเชล็อตติ
ในวันที่ โรนัลโด้ ยังอยู่ มาดริด คว้าแชมป์ ลา ลีกา สเปน 2 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 4 สมัย
แน่นอนว่า เบนเซม่า ถูกพูดถึง แต่แสงสปอร์ตไลท์ไม่ได้ฉายไปหาเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะเปรียบเสมือนเป็นตัวซัพพอร์ทมากกว่า
และในวันที่ พี่โด้ ย้ายออกไป มาดริด ก็ถูกเย้ยหยันว่า คงไม่มีทางได้แชมป์อีกแล้ว ยิ่งซีซั่น 2018-19 ราชันชุดขาว จบซีซั่นแบบมือเปล่า ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า มาดริด กำลังล้มเหลว
แต่แค่ปีเดียว เบนเซม่า ก็พา มาดริด กลับมาผงาด ด้วยการคว้าแชมป์ ลา ลีกา สเปน ก่อนจะเปล่งรัศมี นำ ราชันชุดขาว เถลิงแชมป์ ยูซีแอล
ดังนั้นการคว้า บัลลง ดอร์ ในวัย 34 ปี 302 วัน เป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
นี่คือรางวัลที่ตอบแทนความเหน็ดเหนื่อย ตอบแทนความมุมานะพยายาม และ ตอบแทนที่เขาไม่เคยท้อถอยเลยแม้แต่วินาทีเดียว
จากคนที่เคยเป็นเงาอยู่เพียงข้างหลัง กลายมาเป็นคนที่ยืนอยู่บัลลังค์ พร้อมคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก รอดูว่า ฟุตบอลโลก 2022 เขาจะมีส่วนช่วย ฝรั่งเศส ได้มากขนาดไหน รอชมกันได้เลย
แด่คนแก่แห่งโลกลูกหนังไม่เคยหมดไฟ .. คาริม เบนเซม่า
ฮาย ฮาวดี้