logo-heading

ซึ่งตลอด 12 เกมของกลุ่มนี้ มีหลากหลายประเด็นเกิดขึ้น ทั้งเรื่องของผลงานทีม และ สถิติส่วนตัว จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันเลยครับ

- คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ระเบิดฟอร์ม

ฝรั่งเศส มา ฟุตบอลโลก คราวนี้ แบบไม่เต็บสูบ เพราะนักเตะมีอาการบาดเจ็บ อาทิ เอ็นโกโล่ ก็องเต้, ปอล ป็อกบา รวมถึง คาริม เบนเซม่า เจ้าของ บัลลง ดอร์ คนล่าสุด และ ก็มีอีกหลายๆคนอยู่ในสภาพที่ไม่ฟิตสมบูรณ์เต็ม 100 % ทำให้เหล่ากูรูมองว่า โอกาสป้องกันแชมป์ของทัพ ตราไก่ อาจจะเป็นไปได้ยากกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ทำท่าผายมือ และ คงพูดในใจว่า "No Problem" เพราะต่อให้ไม่มีตัวหลักหลายๆคน แต่เขายังคงระเบิดฟอร์มช่วย ฝรั่งเศส ได้อย่างไร้ที่ติ ลีลาการลากเลื้อย, สปีดที่จัดจ้าน และ การจบสกอร์อันเฉียบคม ทำให้ขุนพลทัพ ตราไก่ ตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ได้ตั้งแต่นัดที่ 2 

ซึ่งหลังจากจบรอบแบ่งกลุ่ม เอ็มบัปเป้ ซัดไปแล้ว 3 ประตู พร้อมทำอีก 1 แอสซิสต์ มีส่วนกับเกมรุก ฝรั่งเศส แทบจะทุกประตู นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ สมกับราคาที่เคยพา ฝรั่งเศส คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก มาแล้ว เมื่อ 4 ปีก่อน ดังนั้นตอนนี้ ตราไก่ จะขาดใครไปก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้  

- ชิรูด์ ทาบสถิติ เธียร์รี่ อองรี

ไม่ใช่แค่ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างสวยหรูเพียงเท่านั้น เพราะยังมี โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กองหน้าตัวเก๋า ที่รับบทเป็นพระเอกซัลโวให้กับทีมชาติฝรั่งเศส นัดถล่ม ออสเตรเลีย 4-1 ด้วยการทำ 2 ประตู ลบคำครหาที่มักโจมตีว่าเขาเป็นกองหน้าไร้น้ำยา คว้าแชมป์ เวิลด์ คัพ 2018 ทั้งที่ไม่ยิงประตู

และ จาก 2 ประตูที่ ชิรูด์ ซัดไปในรอบแบ่งกลุ่ม ส่งผลให้เขาทาบสถิติกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติฝรั่งเศส เทียบเท่ากับ เธียร์รี่ อองรี ตำนานหัวหอก อาร์เซน่อล ที่จำนวน 51 ประตู ขออีกเพียงแค่ลูกเดียว ก็จะสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นนำแต่เพียงผู้เดียว

ต้องมารอดูกันว่า ชิรูด์ จะสามารถทำลายสถิติของ อองรี ได้ในศึก ฟุตบอลโลก 2022 เลยหรือไม่ น่าเสียดายที่เกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายที่เจอกับ ตูนิเซีย นั้น ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ดรอปเจ้าตัวเป็นสำรอง ดังนั้นต้องไปรอลุ้นประตูในรอบน็อคเอาท์ ว่าการเจอกับ โปแลนด์ จะสามารถยิงประตูได้หรือไม่

- ออสเตรเลีย พลิกนรกเข้ารอบน็อคเอาท์

ว่ากันตามตรงจากการแพ้ ฝรั่งเศส 1-4 ในรอบแบ่งกลุ่มนัดแรก แทบจะถีบส่งให้ ออสเตรเลีย ตกรอบกลับบ้านไปอย่างเร่งด่วนเลยก็ว่าได้ แต่กระนั้นขุนพลแดน จิงโจ้ กลับฟื้นคืนชีพ ถูกฉุดขึ้นมาจากขุมนรก ด้วยการเฉือนเอาชนะ ตูนิเซีย 1-0

แต่จากฟอร์ม 2 นัดของ ออสเตรเลีย ดูไม่มีความตราตรึงใจเลยสักนิด บวกกับทีมจากโควต้าเอเชีย กระเด็นตกรอบไปแล้ว 2 ทีม ทั้ง กาตาร์ และ อิหร่าน ดังนั้นมันมีโอกาสที่ขุนพล จิงโจ้ จะเดินตามรอยจอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่มสูงมาก เพราะนัดสุดท้ายต้องเจอกับ เดนมาร์ก ของแข็งจากทวีปยุโรป

ใครๆก็มองว่า เดนมาร์ก เหนือกว่า ออสเตรเลีย พอสมควร แต่ไม่รู้ว่า ออสเตรเลีย ไปกินอะไรกันมา เพราะพวกเขาโชว์ฟอร์มกันได้ดีผิดหูผิดตาเหลือเกิน โดดเด่นตั้งแต่เกมรับ ยันเกมรุก สุดท้ายเรื่องราวเหลือเชื่อเกิดขึ้น เมื่อ แมทธิว เล็คกี้ เป็นคนยิงประตูชัยให้ ออสซี่ เฉือน โคนม 1-0 ตีตั๋วเข้าสู่รอบน็อคเอาท์เป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม ได้อย่างเหลือเชื่อ และ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

- เดนมาร์ก โชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวัง

ก่อนการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 จะเริ่มขึ้น ใครๆก็คาดคิดว่า เดนมาร์ก น่าจะผ่านเข้ารอบตามหลัง ฝรั่งเศส ได้แบบไม่ยากเย็น เพราะคู่แข่งอีก 2 ทีม อย่าง ออสเตรเลีย และ ตูนิเซีย ไม่ได้ยากแบบเหนือบ่ากว่าแรง

บวกกับ เดนมาร์ก มีผลงานอันสะแด่วแห้ว บนเวที ยูโร 2020 ทะลุผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ อีกทั้งผู้เล่นชุดนั้น ก็แทบยกโขยงกันมาในทัวร์นาเมนต์นี้ ทำให้แฟนบอลติดภาพจำความสุดยอดเหล่านั้นไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ทว่าทัพ โคนม ไม่อาจเรียกฟอร์มเก่งออกมาได้เลย สิ่งที่พวกเขาเคยทำได้ในศึก ยูโร 2020 กลับไม่ได้เห็นบนเวที ฟุตบอลโลก 2022 เกมรุกที่น่าตื่นเต้น ช่างดูเหี่ยวเฉาไม่มีมิติ .. คริสเตียน อีริคเซ่น ไม่สามารถแบกทีมได้ ตลอดทัวร์นาเมนต์นี้ เดนมาร์ก ยิงไปเพียงแค่ 1 ลูก เท่านั้น

- ตูนิเซีย ตกรอบแบบหล่อๆ

มีแค่ 1 แต้ม จาก 2 นัด แถมยังยิงใครไม่ได้ ก็แทบมองไม่เห็นโอกาสเลยว่า ตูนิเซีย จะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายไปได้ นอกจากเสียต้องเอาชนะ ฝรั่งเศส และ ลุ้นคู่ระหว่าง ออสเตรเลีย กับ เดนมาร์ก ไม่มีผลแพ้-ชนะ

ถึงแม้ว่า ออสเตรเลีย จะเอาชนะ เดนมาร์ก และ ผ่านเข้าไปได้ ส่งให้ ตูนิเซีย ตกรอบไปโดยปริยาย แต่การตกรอบครั้งนี้ พวกเขาได้สร้างความทรงจำอันสวยงามเอาไว้ ด้วยการเฉือนชนะ ฝรั่งเศส ไปด้วยสกอร์ 1-0 ต่อให้จะเป็น ตราไก่ ชุดสำรองยกทีมก็ตาม

จากชัยชนะแมตช์นี้ของ ตูนิเซีย เป็นการหยุดสถิติของ ฝรั่งเศส ที่ไม่เคยแพ้ใครในรอบแบ่งกลุ่ม ตั้งแต่ ยูโร 2016 อยู่ที่ 11 นัด เรียบร้อย หลังก่อนหน้านี้ชนะมา 7 นัด และ เสมอ 4 นัด เรียกว่าเป็นการตกรอบที่น่าจดจำของนักเตะ ตูนิเซีย

ฮาย ฮาวดี้
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline