logo-heading

เพราะไม่มีใคร "กล้า" คาดคิดมาก่อนหรอกครับว่า พวกเขาจะสร้างเซอร์ไพรส์ก้าวมาถึงรอบตัดเชือก ชนิดที่แฟนบอลหลายๆคนเชียร์ให้ได้ แชมป์ เวิลด์ คัพ เลยด้วยซ้ำ

ถ้าหากใครได้ดูผลงานของ โมร็อกโก ตั้งแต่นัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม จนถึงมาเกมล่าสุด จะรู้เลยว่า โมร็อกโก ไม่ได้ผ่านเข้ารอบมาแบบฟลุ๊คๆ หรือต้องพึ่งพาอาศัยโชคดวง เพราะทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากฝีเท้า และ ความสามัคคีของทีมล้วน

หลายๆคน อาจจะยังไม่ได้รู้จัก โมร็อกโก เจ้าของฉายา "สิงโตแห่งแอตลาส" มากนัก ว่ากว่าที่พวกเขาจะฝ่าฟัน สร้างสตอรี่ราวกับเทพนิยายเข้ามา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งเรื่องดราม่ากับนักเตะคนสำคัญ ผลงานก่อน ฟุตบอลโลก ที่ต้องผิดหวัง รวมถึงตัวนักเตะก็ไม่ได้โด่งดัง แต่วันนี้แสงสปอร์ตไลท์ส่องถึง เอาเป็นว่า ขอบสนาม จะพาไปให้ทุกคนรู้จัก โมร็อกโก ให้เยอะมากขึ้น

- โมร็อกโก ร้างแชมป์มานานแสนนาน

ที่คุณเห็น โมร็อกโก เดินทางมาไกลได้ขนาดนี้ รู้ไหมครับว่า พวกเขาผ่านความผิดหวังมานานมากขนาดไหน อย่างในรายการ แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ทัวร์นาเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งกาฬทวีป พวกเขาเคยเป็นแชมป์แค่ 1 ครั้ง และ เกิดขึ้นในปี 1976 หรือ 46 ปี มาแล้ว

ดังนั้น ฟุตบอลโลก ไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะความยากมันเพิ่มทวีคูณไปอีก 10 เท่าของการแข่งขัน แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ซึ่งดีที่สุดของ โมร็อกโก ก่อนหน้านี้ก็คือการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อครั้ง เวิลด์ คัพ 1986 ที่เหลือถ้าผ่านมาถึงรอบสุดท้าย ก็จอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น

ส่วนเรื่องตัวนักเตะดังๆยุคอดีต เชื่อว่าแฟนบอลยุค 90 จะต้องรู้จัก และ คุ้นเคยกับ มุสตาฟา ฮัดจิ ตำนานมิดฟิลด์ "ไอ้หนุ่มผมยาว" ของ โมร็อกโก ที่เคยผ่าน ฟุตบอลโลก มา 2 สมัย รวมถึงเคยเล่นให้กับทั้ง โคเวนทรี ซิตี้ และ แอสตัน วิลล่า สมัยโลดแล่นบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 

- โมร็อกโก สร้างสตอรี่ประวัติศาสตร์บน ฟุตบอลโลก

อย่างที่บอกครับ นับตั้งแต่ ฟุตบอลโลก เริ่มฟาดแข้งในปี 1930 .. โมร็อกโก ผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายแค่ 6 ครั้ง ซึ่ง 5 ครั้งก่อนหน้านี้ ตกรอบแบ่งกลุ่มถึง 4 หน ดังนั้นไม่มีใครคาดคิดหรอกว่า เวิลด์ คัพ 2022 โมร็อกโก จะสร้างสตอรี่อันเลื่องลือ เป็นทีมม้ามืดผ่านเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศ เพราะเอาแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ว่ายากเย็นแล้ว

อย่างไรก็ตาม โมร็อกโก โชว์ผลงานให้ผู้คนต้องหันมาจับจ้องพวกเขามากขึ้น เพราะในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาผ่านเข้ามาในฐานะอันดับ 1 ของกลุ่ม ทั้งๆที่มีเพื่อนร่วมสาย อย่าง เบลเยี่ยม และ โครเอเชีย ที่เด็ดดวงไปกว่านั้น คือ โมร็อกโก สามารถเอาชนะ เบลเยี่ยม อดีตทีมเบอร์ 1 ของโลก ได้ถึง 2-0 พร้อมเขี่ย "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" กลับบ้านแบบชอกช้ำ

จริงๆการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ของ โมร็อกโก อาจไม่ได้ทำให้แฟนบอลถึงขั้นประหลาดใจนักหรอกครับ และ อาจมีผู้คนน้อยนิดมองว่าพวกเขาเป็นม้ามืด เพราะ ฟุตบอลโลก ประเทศกาตาร์ มันมีหลายชาติ เหลือเกิน ที่พลิกนรกเข้ารอบน็อคเอาท์ได้อย่างเหลือเชื่อ อาทิ ญี่ปุ่น พลิกล็อคชนะ สเปน 2-1 หรือ เกาหลีใต้ แซงเฉือน โปรตุเกส 2-1 ล้วนเป็นแมตช์ที่โลกต้องจารึก

"ยิ่งคนไม่มอง ยิ่งไร้ความกดดัน" ประโยคนี้สามารถใช้กับ โมร็อกโก ได้เลยล่ะครับ เพราะรอบ 16 ทีมสุดท้าย ต้องเจอกับทีมชาติสเปน เชื่อว่ามากกว่า 80-90 % ต้องคิดว่า "กระทิงดุ" คงผ่านเข้ารอบได้อย่างแบเบอร์ หลังโดนครหาว่า หลบหลีกไม่อยากเจอ โครเอเชีย เนื่องจากปะทะกับ โมร็อกโก อาจง่ายกว่า

แต่ไม่ใช่แบบนั้น เพราะ โมร็อกโก ช่วยกันเล่นเกมรับกันอย่างตั้งใจ ลงสนามมาทำตามแท็คติคที่โค้ชสั่งไว้ ต่อให้ สเปน จะเคาะบอลหาช่องมากเพียงใด แต่ โมร็อกโก ก็ไม่ได้เปิดช่องว่างให้ กระทิงดุ ทำประตูได้ง่ายๆเลย สุดท้ายจบ 120 นาที เสมอกัน 0-0 และ เป็น โมร็อกโก ดวลจุดโทษเอาชนะ สเปน ไปได้ 3-0 คราวนี้แฟนบอลไม่ได้มอง โมร็อกโก โบ๋อีกแล้ว เพราะถึงขั้นปราบยักษ์ใหญ่ร่วงไปอีกทีม

มาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย โมร็อกโก โชว์ศักยภาพตัวเองให้แซ่ซ่องมากไปกว่าเดิมอีก เมื่อพวกเขาสร้างผลงานเฉือนเอาชนะ ทีมชาติโปรตุเกส ที่มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปด้วยสกอร์ 1-0 มันไม่ใช่การชนะแบบฟลุ๊คๆ แต่เป็นรูปแบบแท็คติคที่ยอดเยี่ยม ทั้งการแก้เพรสซิ่ง, กล้าเล่นต่อบอลภาคพื้นดิน, สกิลส่วนตัวของนักเตะ และ จังหวะจบสกอร์ที่ควรทำได้ มันเป็นสิ่งที่ต้องลุกขึ้นปรบมือ

กลายเป็น โมร็อกโก สร้างประวัติศาสตร์ ผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และ เป็นชาติแรกจากทวีปแอฟริกา ที่ทำได้อีกด้วย ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น โมร็อกโก ปราบยักษ์ใหญ่ยุโรปมาถึง 3 ทีม ไล่ตั้งแต่ เบลเยี่ยม, สเปน และ โปรตุเกส ดังนั้นการเจอกับ ฝรั่งเศส รอบตัดเชือก พวกเขาไม่เกรงกลัวใดๆแน่นอน

- สตาร์เด่น โมร็อกโก

ถ้าจะพูดถึงสตาร์เด่นๆของ โมร็อกโก เชื่อว่าหลายคนอาจจะนึกถึงอยู่ 2 ราย นั่นคือ ฮาคิม ซิเย็ค ปีกตัวจี๊ดจาก เชลซี และ อัชราฟ ฮาคิมี่ แบ็กขวาจอมบุกแห่งค่าย ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แต่กระนั้นทัวร์นาเมนต์นี้เหล่าขุนพลของ โมร็อกโก โชว์ฟอร์มกันได้ดีทุกคน

แต่กระนั้นนักเตะที่กำลังถูกจับตามองมากที่สุด เป็นหัวใจในแผงมิดฟิลด์ของ โมร็อกโก เป็นอารักขาคนสำคัญของทีม ที่คอยปัดป้องไม่ให้ทีมเสียประตู คนๆนั้นคือ โซฟียาน อัมราบัต กองกลางตัวตัดเกม ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ทีม เพิ่งเสียประตูไปแค่ 1 ลูก เท่านั้น ในศึก ฟุตบอลโลก 2022 .. เป็นสถิติที่โคตรน่าเหลือเชื่อเลยใช่ไหมล่ะครับ

ซึ่งผลงานของ อัมราบัต จากเกมที่ โมร็อกโก เอาชนะ โปรตุเกส 1-0 เขามีสถิติเข้าปะทะชนะ 2 ครั้ง, แย่งบอลคู่แข่ง 8 ครั้ง, ตัดบอล 1 ครั้ง, เลี้ยงผ่านคู่แข่ง 3 ครั้ง และ เคลียร์จังหวะสำคัญถึง 3 ครั้ง ด้วยฟอร์มแบบนี้ เชื่อว่า ฟิออเรนติน่า อาจเล็กไปแล้วสำหรับ โซฟียาน อัมราบัต เนื่องจากสโมสรยักษ์ใหญ่ให้ความสนใจเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ ลิเวอร์พูล

นอกจากนี้ โมร็อกโก ยังมีนักเตะทำผลงานได้ดีอีกเพียบ อย่างเช่น ยาสซีน บูนู ผู้รักษาประตูที่เป็นฮีโร่ ป้องกันช่วงดวลจุดโทษกับ สเปน ถึง 3 ลูกติดต่อกัน รวมถึงช็อตเซฟกระจายในเกมเฉือนเอาชนะ โปรตุเกส นับเป็นอีกแข้งคนสำคัญ

ยังมี โซฟียาน บูฟาล แนวรุกของทีม ที่วิ่งเป็นนักเตะ 8 ปอด พลังไม่มีหมด ต่อให้จะต้องวิ่งตรงไหนเขาไม่มีหมดแรง แถมสกิลส่วนตัวก็พริ้วไหวดั่งสายน้ำ ซึ่งชื่อนี้ก็คงคุ้นเคยกับแฟนบอลเป็นอย่างดี เพราะเขาเคยอยู่กับ เซาธ์แฮมป์ตัน มาก่อน แต่ปัจจุบันไปเล่นให้กับ อ็องเช่ ในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส

ซึ่งผู้เล่นเหล่านี้ และ ที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ ล้วนมีความสำคัญกับ โมร็อกโก ทั้งหมด

- เกือบไม่มี ซิเย็ค อยู่ในทีมชุดใหญ่ประวัติ โมร็อกโก

แฟนบอล เชลซี คงอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไม ซิเย็ค ถึงโดนดรอปเป็นสำรอง หรือ กับสโมสรเหตุไฉนไม่สามารถโชว์ฟอร์ม ได้เหมือนตอนเล่นให้กับ โมร็อกโก เพราะ ซิเย็ค เป็นแนวรุกคนสำคัญที่ทีมจะขาดไปไม่ได้เลย ทั้งสกิล, การวางบอล, การแอสซิสต์ นับว่าสำคัญทั้งหมด

แต่ทราบกันไหมครับว่า ก่อนหน้านี้ ซิเย็ค หลุดทีมชาติโมร็อกโก ไปนานราวๆ 1 ปี โดย แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ครั้งล่าสุด ซึ่ง โมร็อกโก ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย เขาไม่ได้ถูกเรียกมาติดทีมชาติ เนื่องจากมีปัญหากับ วาฮิด ฮาลิฮอดซิช อดีตกุนซือของทีม เหตุผล ซิเย็ค ทำผิดวินัยหลายครั้ง

ทั้งเรื่องมารายงานตัวสาย, ไม่ยอมลงสนามในเกมอุ่นเครื่อง โดยอ้างว่ามีอาการบาดเจ็บ ทั้งๆที่ทีมแพทย์ตรวจอาการแล้วพบว่าสามารถลงสนามได้, ปฏิเสธลงไปวอร์มช่วงพักครึ่ง เพราะไม่อยากลงเล่นเป็นสำรอง ดังนั้นการดื้อแพ่งแบบนี้ ทำให้ ซิเย็ค จะไม่มีทางติดทีมชาติอีกแน่นอน ถ้าหาก วาฮิด ฮาลิฮอดซิช ยังกุมบังเหียน ซึ่ง ซิเย็ค ถึงขั้นประกาศเลิกเล่นทีมชาติ ไปเลย เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2022

อย่างไรก็ตาม หลังจาก โมร็อกโก มีการเปลี่ยนกุนซือจาก วาฮิด ฮาลิฮอดซิช มาเป็น วาลิด เรกรากี เฮดโค้ชคนปัจจุบัน ทำให้ สหพันธ์ฟุตบอล โมร็อกโก ไปทาบทามให้ ซีเย็ค กลับมาช่วยทีมชาติอีกครั้ง เพื่อเป็นตัวความหวังลุยศึก ฟุตบอลโลก 2022 และ ที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือประวัติศาสตร์ที่เขาร่วมกันสร้างกับเพื่อนๆ

ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว โมร็อกโก จะสร้างเทพนิยายเป็นแชมป์ เวิลด์ คัพ ได้หรือไม่ แต่เชื่อเถอะว่าต่อจากนี้ จะไม่มีใครมองเขาเป็นม้านอกสายตาอีกแล้ว เพราะทุกอย่างที่พวกเขาทำมา มันบ่งบอกในตัวอยู่แล้วว่า "โมร็อกโก" แม่งของจริง !

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline