logo-heading

ซึ่งตลอด 90 นาทีในเกมดังกล่าวมีหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจให้ติดตาม ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราเลยรวบรวมเหตุการณ์เด่น จากเกมทัพ "เรือใบ" บุกถลุง "ยูงทอง" มาให้ได้ทุกท่านได้รับชมกัน ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

การจัดทัพ

เริ่มต้นที่การจัดทัพ 11 ตัวจริงกันก่อน เกมนี้เจ้าถิ่น ลีดส์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ เจสซี มาร์ช ขนผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนามเกมรับนำมาโดย โรบิน คอช กับ เลียม คูเปอร์ ส่วนแดนกลางใช้งาน อดัม ฟอร์ชอว์, มาร์ค โรก้า และ แซม กรีนวู้ด ส่วนแผนกเกมรุกเป็น วิลเฟร็ด นอนโต้, โรดริโก้ กับ เบรนเดน แอรอนสัน

ข้ามที่ฝั่งทีมเยือน "เรือใบสีฟ้า" กันบ้าง มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คือการส่ง ริโก้ ลูอิส ดาวรุ่งวัย 18 ปี ลงประจำการเป็นแบ็คขวาของทีม ส่วนทางซ้ายปรับ นาธาน อาเก้ ไปประจำการ ทั้งที่ข้างสนามมีฟูลแบ็คตัวจริงทั้ง เจา คันเซโร่ กับ ไคล์ วอร์คเกอร์ อยู่ก็ตาม

ส่วนเกมรุกจัดหนักใส่ชื่อทั้ง เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกัน, ริยาด มาห์เรซ, แจ็ค กรีลิช และ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ในการไล่ล่าประตูของทางฝั่งเจ้าบ้าน

เรือใบ เดินหน้าบุกเข้าใส่

ต้องบอกว่ารูปเกมก็เป็นไปตามที่แฟนบอลคาดเอาไว้ก่อนเกมคือการที่ แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายเดินหน้าเปิดเกมรุกบุกเข้าใส่ ซึ่งพวกเขามีโอกาสตั้งแต่ยังไม่ครบ 1 นาทีดีจาก เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ซึ่งหลังจากนั้นเหมือนพายุที่โหมกระหน่ำมากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งจะว่าไปโอกาสที่เยอะของ "เรือใบสีฟ้า" กลับไม่ค่อยเฉียบคมมากนักในช่วง 45 นาทีแรก ทำให้กว่าจะเจาะประตูเจ้าบ้านได้ต้องรอไปถึงช่วงทดเวลาของครึ่งแรก ซึ่งกลายเป็น โรดรี้ ที่เติมขึ้นซ้ำลูกยิงของ มาห์เรซ เข้าไป ช่วยให้จบครึ่งแรกด้วยการออกนำไปก่อน 

และแน่นอนว่ามันส่งผลต่อรูปเกมในครึ่งหลังที่ลงมาเล่นกันต่อ รวมไปถึงเรื่องของแท็คติกต่างๆ

ว่าแล้วครึ่งหลังแสนยานุภาพของพวกเขาก็เจิดจรัสขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกระซวกเพิ่มได้อีก 2 ตุง พากันเก็บ 3 คะแนนได้ตามเป้ากมายที่วางเอาไว้ได้สำเร็จ พร้อมขยับกลับขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูงอีกครั้ง ตามหลังจ่าฝูงอย่าง อาร์เซน่อล 5 คะแนนเท่าเดิม

ส่วนสถิติหลังเกมระบุว่า แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสมากถึง 26 ครั้ง ในการทำประตู ทว่ามันเป็นการยิงตรงกรอบเพียง 9 ครั้ง แปรเปลี่ยนเป็น 3 ประตู ส่วนเรื่องการจ่ายบอลแตกต่างกันแบบครึ่งต่อครึ่ง ลีดส์ 303 ครั้ง ส่วน ซิตี้ 690 ครั้ง พร้อมเปอร์เซ็นต์ครองบอลของผู้มาเยือนสูงถึง 69% เลยทีเดียว

เกมเรียกความมั่นใจของ กรีลิช

ถ้าโฟกัสแค่เพียงเกมในช่วง 45 นาทีแรก คงเป็นเกมที่น่าผิดหวังแบบสุดๆ ของ กรีลิช ทั้งเรื่องของการสร้างสรรค์ หรือที่สำคัญคือโอกาสทำประตูที่พลาดง่ายๆ 

ทว่าครึ่งหลังเหมือนเป็นหนังคนละม้วน กรีลิช ลงมาเล่นพร้อมความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นเหมาคนเดียว 2 แอสซิสต์ให้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กระซวกตาข่ายเข้าไป

โดยเฉพาะประตูขึ้นนำ 0-2 ทั้งจังหวะขยันไปฉกบอลจากเกมรับของ ลีดส์ ก่อนใจกว้างเป็นแม่น้ำไหลให้ ฮาแลนด์ ซัดข้าไปง่ายๆ หรือการเคลื่อนที่ไปจ่ายบอลนำมาซึ่งประตูที่ 3 ก็ยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน

เชื่อว่า 45 นาทีหลังคงเสริมสร้างความมั่นใจให้กับ แจ็ค กรีลิช ไม่ใช่น้อย แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสวิจารณ์เยอะมากเกี่ยวกับผลงานของเขา ทว่าตอนนี้เหมือนเขาเองก็พยายามที่จะยกระดับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ฮาแลนด์ ร้อนแรง

ยังคงความร้อนแรงเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องสำหรับกองหน้ารายนี้ การหยุดพักเบรคให้กับช่วงฟุตบอลโลกไม่ได้ส่งผลต่อความต่อเนื่องแต่อย่างใด แถมเหมือนเป็นการเร้าให้เขาอยากลงสนามไปไล่ล่าประตูคู่แข่งด้วยซ้ำ

ในเกมที่ผ่านมา ฮาแลนด์ มีโอกาสยิงไปมากถึง 8 ครั้ง แปรเปลี่ยนเป็น 2 ประตูสำคัญพาทีมเก็บ 3 คะแนน ส่วนสถิติที่น่าสนใจหลังเกมคือเจ้าตัวซัดประตูในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 20 ตุง จากการลงสนามเพียง 14 นัดเท่านั้น ทำลายสถิติเดิมของ เควิน ฟิลลิปส์ ที่เคยทำไว้ที่จำนวน 21 เกมลงได้สำเร็จ

ส่วนถ้านับสถิติแบบทุกรายการของ ฮาแลนด์ ในซีซั่นนี้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจ้าตัวกระหน่ำไปแล้ว 26 ประตู จาก 20 เกม ซึ่งจากสถิติดังกล่าวมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าไอ้เด็กคนนี้มันพร้อมสร้างสถิติ และทำลายของเก่า อยู่ตลอดเวลา 

อีกอย่างที่น่าสนใจคือเมื่อจบฤดูกาล ฮาแลนด์ จะไปหยุดตัวเลขอยู่ที่กี่ประตู เพราะทั้งความเฉียบขาดของเขา บวกกับเพื่อนรอบข้างที่พร้อมเปิดป้อนให้แบบนี้ บางทีตัวเลขเกิน 40-50 ตุง อาจไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงไปสักเท่าไหร่นัก

โปรแกรมโหดของ ซิตี้

หลังจบเกมกับ ลีดส์ ไปต้องบอกว่าโปรแกรมของ แมนฯ ซิตี้ โหดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน จากนี้พวกเขาจะลงสนามปิดท้ายปี 2022 ด้วยการกลับไปเล่นในบ้านดวลกับ เอฟเวอร์ตัน 

จากนั้นออกสตาร์ทปี 2023 ด้วยความหฤโหดทั้งบุกไปเยือน เชลซี ในศึกพรีเมียร์ลีก ต่อด้วยดวลทัพ "สิงห์บลูส์" อีกครั้งในศึกเอฟเอ คัพ ก่อนเล่นในอีกรายการคือดวล เซาแธมป์ตัน ที่ยืนรอในรอบ 8 ทีมสุดท้ายบอลถ้วยลีก คัพ

เสร็จสิ้นจากเกมกับทัพ "นักบุญ" จะลงเล่น 2 เกมบิ๊กแมตช์ในลีกด้วยการออกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อด้วยเฝ้ารังดวล ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์

ต้องบอกว่าเป็นเดือนหรรษาหฤโหดของพวกเขาไม่ใช่น้อย ซึ่งต้องมาติดตามกันว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะเอาตัวรอดจากโปรแกรมเดือดตรงนี้ด้วยการคว้าชัยได้ทั้งหมดกี่เกม

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline