เจา เฟลิกซ์ ได้เปิดตัวในฐานะนักเตะใหม่ของ เชลซี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่กำลังจะได้เล่นให้ทั้ง เชลซี และ แอตเลติโก มาดริด
ถ้าย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมาจริงๆ ก็มีนักเตะอยู่หลายคนที่เคยได้โอกาสเล่นให้กับทั้ง แอตเลติโก มาดริด และ เชลซี จะมีใครกันบ้างนั้นวันนี้ทาง ขอบสนาม จะพาไปย้อนดูกันแต่ขอเป็นแค่ยุค ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เท่านั้นนะ !
อัลบาโร่ โมราต้า
ย้อนกลับไปซัมเมอร์ปี 2017 เชลซี สร้างความฮือฮาไม่ใช่น้อยกับการควักเงิน 60 ล้านปอนด์กระชาก อัลบาโร่ โมราต้า มาร่วมทีมเพราะเป็นช่วงที่พี่แกผลงานค่อนข้างโดดเด่นกับปีสุดท้ายที่ เรอัล มาดริด โดยเฉพาะเรื่องการผลิตสกอร์
ต้องยอมรับ อัลบาโร่ โมราต้า เริ่มต้นกับ เชลซี ได้ดีเลย ยิงประตูได้ต่อเนื่องมากๆ ในช่วงแรกๆ จนใครต่อใครต่างเชื่อว่าลุ้นตำแหน่งดาวซัลโวได้เลย แต่ไม่รู้หลังจากนั้นโดนอะไรเข้าสิงเพราะฟอร์มค่อยๆ ตกลงเรื่อยๆ เหมือนขาดความมั่นใจ ใช้โอกาสก็เปลือง และก็พลาดโอกาสทองง่ายๆ ให้เห็นอยู่บ่อยๆ ถึงแม้จะซัดไป 15 ประตูจาก 48 นัดในปีแรกแต่ก็มีเสียงวิจารณ์ตามมามากมายอยู่ดี
ปีต่อมาพอโอกาสเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ นั่นก็ทำให้ โมราต้า ถูกลดสถานะตัวเองกลายเป็นตัวสำรอง โดนจำกัดโอกาสลงเล่นมากขึ้นจนท้ายที่สุดก็โดนปล่อยยืมไปอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด ในช่วงต้นปี 2019 และก็เหมือนจะเรียกความมั่นใจมาได้ในช่วง 1 ปีครึ่งกับการซัดไป 22 ประตูจาก 61 เกม ก่อนจะย้ายกลับไป ยูเวนตุส รอบ 2 แบบยืมตัว จนกระทั่งในปัจจุบัน โมราต้า ก็กลับมาเป็นนักเตะในสังกัดของ "ตราหมี" แบบถาวร
ราดาเมล ฟัลเกา
หนึ่งในยอดกองหน้าที่เคยถูกยกให้เป็นเพชรฆาตที่น่ากลัวสุดๆ นั่นก็คือ ราดาเมล ฟัลเกา เพราะโปรไฟล์ที่สร้างไว้กับ ปอร์โต้ จนกระทั่งย้ายมาอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด มันสุดยอดเกินคำบรรยายจากการซัลโวไปถล่มทลายที่ 70 ประตูจากการลงเล่น 91 นัดในสีเสื้อ "ตราหมี" ในช่วงเวลาแค่ 2 ปี และหนึ่งในนั้นก็คือการกด 4 เม็ดใส่ เชลซี ในถ้วย ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ
หลังจากนั้น 3 ปีหรือซีซั่น 2015-16 เจ้าของฉายา เอล ติเกร ก็ได้โอกาสย้ายมาค้าแข้งกับ เชลซี โดยย้ายมาจาก โมนาโก ด้วยสัญญายืมตัว ถึงแม้ตอนนั้นอายุจะเพิ่งแค่ 29 นับเป็นจุดพีคของอาชีพของนักฟุตบอล แต่สำหรับ ฟัลเกา นั้นถือเป็นช่วงโรยราเพราะเจออาการบาดเจ็บเล่นงานเป็นวิญญาณตามติด
มิหนำซ้ำการย้ายมา เชลซี ยังต้องเจอปัญหาในการปรับตัวอีกต่างหาก นั่นก็เลยทำให้พี่แกต้องเจอกับความล้มเหลวที่ เดอะ บริดจ์ เพราะได้ลงเล่นไปแค่ 12 นัด และยิงได้แค่ประตูเดียวซึ่งนั่นเกิดขึ้นในเกมที่แพ้ คริสตัล พาเลซ 1-2
ติโบต์ กูร์กตัวส์
เคยถูกแฟนๆ เชลซี สาปส่งและด่าวันด่าคืนว่าเป็น "ไอ้งูพิษ" ก็ตอนที่ตัดสินใจทิ้ง เชลซี ไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็งอแงเรื่องการเป็นนายทวารเบอร์ 1 จนสโมสรต้องตัดสินใจปล่อย ปีเตอร์ เช็ก ออกไปจากทีม
แต่ถ้าย้อนไปเมื่อสมัยอยู่กับ เชลซี มันก็ปฏิเสธไม่ได้ในเรื่องของฝีไม้ลายมือเพราะเขาช่วยให้ เชลซี เก็บได้ 58 คลีนชีทจากการลงเล่น 154 นัดตลอด 4 ปี ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย และ เอฟเอ คัพ กับ ลีก คัพ อย่างละ 1 สมัย
ถึงแม้ กูร์กตัวส์ จะเคยเป็นเด็กฝึกของ เชลซี ตั้งแต่ช่วงปี 2011 หลังถูกทาบทามมาจาก เกงค์ แต่กว่าจะกลายมาเป็นตัวหลักพี่แกได้เติบโตและพัฒนาตัวเองกับสโมสร แอตฯ มาดริด อยู่ 3 ปี ได้เป็นมือ 1 ของทีมตั้งแต่อายุยังน้อย ลงเฝ้าเสาไป 154 เกม เก็บได้ 76 คลีนชีท ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ ลา ลีกา, โกปา เดล เรย์, ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อย่าง ละ 1 สมัย
ดีเอโก้ คอสต้า
ถ้าจะถามถึงกองหน้าของ เชลซี ที่ดีที่สุดในช่วง 10 ปีหลังสุดก็คงต้องเป็น ดีเอโก้ คอสต้า เพราะค่าตัว 32 ล้านปอนด์เมื่อเทียบกับระยะเวลา 3 ฤดูกาลจัดว่าคุ้มค่ามากๆ กับการซัดไป 59 ประตูจาก 120 เกม เฉลี่ยแล้วยิง 20 ประตูต่อซีซั่น และเมื่อ เชลซี สามารถตอบโจทย์เรื่องกองหน้าที่ต้องการได้มันก็นำมาซึ่งการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย และ ลีก คัพ อีกหนึ่งสมัย
แต่ก็น่าเสียดายที่อนาคตของ คอสต้า กับ เชลซี อยู่ไม่ยืดเท่าไหร่เพราะดันไปมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับ อันโตนิโอ คอนเต้ และนั่นก็ให้ตัวของ คอสต้า ไม่กลับมา เชลซี อีกเลยจนกระทั่งปีต่อมาได้ย้ายกลับไปอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด
ถึงแม้ ดีเอโก้ คอสต้า จะผ่านการค้าแข้งมากับหลายสโมสร แต่การอยู่กับ "ตราหมี" 2010-14 นั่นคือสโมสรที่แจ้งเกิดและทำให้เขาได้เป็นที่รู้จักโดยเฉพาะปีสุดท้ายก่อนย้ายมา เชลซี ที่ระเบิดสกอร์ไป 36 ประตูจากการลงเล่น 52 นัด ส่วนการคัมแบ็กรอบ 2 คอสต้า ก็ไม่ได้ถูกมองเป็นตัวหลัก เจ็บบ่อย ได้ลงเล่นบ้างไม่ได้ลงเล่นบ้างในช่วงตลอดระยะเวลา 3 ปีครึ่ง
เฟร์นานโด ตอร์เรส
เจ้าของฉายา "เอล นินโญ่" เฟร์นานโด ตอร์เรส เติบโตมาจากอคาเดมี่ของ แอตเลติโก มาดริด โดยตรง ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2000 และกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมนับตั้งแต่นั้น แถมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมตั้งแต่อายุยังน้อยด้วย
การซัดไป 91 ประตูจาก 244 นัดในช่วง 7 ซีซั่นนั่นก็ทำให้ชื่อของ เฟร์นานโด ตอร์เรส ถูกยกให้เป็นนักเตะที่น่าจะจับตามองที่สุดคนหนึ่ง ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ "เอล นินโญ่" พบเจอกับความก้าวหน้าในอาชีพในปี 2007 และตลอดช่วง 4 ปีพี่แกก็เล่นระเบิดสกอร์ไป 81 ประตูจากการลงเล่น 142 นัด ถึงแม้จะร้างความสำเร็จแต่ชื่อของ ตอร์เรส ก็ถูกจดจำว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์สโมสร
การตัดสินย้ายมาค้าแข้งกับ เชลซี ในช่วงต้นปี 2011 ด้วยค่าตัวที่แพงที่สุดตอนนั้นที่ 50 ล้านปอนด์เหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดรึเปล่า ถึงแม้ ตอร์เรส จะได้ตอบโจทย์เรื่องถ้วยแชมป์ทั้ง เอฟเอ คัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก แต่เรื่องผลงานก็ถือว่าผิดฟอร์มไปเยอะถ้าเทียบกันตอนอยู่ ลิเวอร์พูล เพราะซัดไปแค่ 45 ประตูเท่านั้นจากการลงเล่น 172 นัด
ท้ายที่สุด เฟร์นานโด ตอร์เรส ก็เก็บข้าวของอำลา เชลซี ย้ายไป เอซี มิลาน ก่อนจะกลับมาตายรังที่ แอตฯ มาดริด และปิดฉากเส้นทางค้าแข้งกับ ซางัน โทสุ ในปี 2019
เฟลิเป้ หลุยส์
เฟลิเป้ หลุยส์ ได้ชื่อว่าเป็นฟูลแบ็กที่ดีที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ในยุคของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ที่ แอตเลติโก มาดริด เพราะนี่คือหนึ่งในกำลังสำคัญที่ช่วยคว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 2 สมัย และ ลา ลีกา, โกปา เดล เรย์ อย่างละ 2 สมัย รวมไปถึง ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2 สมัยด้วย
ฤดูกาล 2014-15 ปีที่ เฟลิเป้ หลุยส์ ได้ตัดสินใจย้ายมาค้าแข้งกับ เชลซี ในสถานะการเป็นตัวแทนของ แอชลี่ย์ โคล แต่ผลปรากฏว่าสอบไม่ผ่านในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ ได้ลงเล่นไปแค่ 15 นัดเท่านั้นจากทุกรายการ บทสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการกลับไปอยู่กับ "ตราหมี" ทีมเก่า
ซาอูล ญิเกซ
สำหรับ ซาอูล ญิเกซ เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เล่นมิดฟิลด์ตัวกลางที่ดีที่สุดคนหนึ่ง และก็มีความสารพัดประโยชน์เล่นได้ทุกตำแหน่งในแผงมิดฟิลด์ทั้งตัวรุก ตัวคุมจังหวะ หรือแม้กระทั่งตัวตัดเกม และก็เคยตกเป็นข่าวกับเหล่าบรรดาทีมใหญ่ๆ ในค่าตัวที่แพงเว่อร์ๆ ด้วย
ซาอูล ญิเกซ โตมาจากการเป็นผลผลิตของอคาเดมี่ของ แอตเลติโก มาดริด โดยตรง ได้ลงเล่นไปกว่า 400 นัด ยิงได้ 51 ประตู แต่พอถึงวันที่พี่แกถูกสถานะลงเนื่องด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บทาง เชลซี ในยุคของ โธมัส ทูเคิ่ล ก็เลยลองของจัดการยืมตัวมาร่วมทีมแบบยืมตัวพ่วงออปชั่นซื้อขาดที่ 35 ล้านยูโร
แต่สุดท้ายผลปรากฏว่า ซาอูล ญิเกซ ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ ขาดความมั่นใจ ต้องเจอกับปัญหาในการปรับตัวจนต้องกลายเป็นตัวสำรองไปโดยปริยาย และก็ได้โอกาสลงเล่นไปแค่ 23 นัดเท่านั้นตลอดปี และส่วนใหญ่ก็คือการโดนเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง
HaMu Dos Santos