logo-heading

กลับร่วงมาอยู่อันดับ 10 ของตาราง ถึงขั้นที่กองเชียร์ สิงห์บลูส์ ตะโกนร้องเรียกคิดถึงเทรนเนอร์คนเก่าอย่าง โธมัส ทูเคิ่ล ด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของ พ็อตเตอร์ ไม่ใช่คนแรก ที่ถูกแฟนบอลทีมตัวเองสาปส่ง เพราะในอดีตก็มีกุนซือหลายๆคน เป็นต้องเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน เนื่องจากผลงานย่ำแย่เกินรับไหว ดังนั้นไปดูกันว่า โค้ชที่โดนกองเชียร์ตัวเองไม่ชอบหน้า มีใครกันบ้างในอันดับ ท็อป 10 ที่ทีมงานขอบสนามเลือกมา

1. เดวิด มอยส์ : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เดอะ ชูสเซ่น วัน หรือ คนที่ ป๋าเฟอร์กี้ ลิขิตมาแล้วว่า ต้องเลือกเขาเป็นผู้สืบทอดทายาท ปีศาจแดง เนื่องจากผลงานตอนคุม เอฟเวอร์ตัน ช่างร้อนแรงเกินห้ามใจ โดยเคยพา ทอฟฟี่ บลูส์ ติดท็อป 4 ด้วยการเบียด ลิเวอร์พูล ตกไปอันดับ 5 มาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกเลือก กลับต้องพังทลายไปอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาแค่ 10 เดือน มอยส์ กลายเป็นเนื้อร้ายในสายตาของแฟนบอล เขานำทีมออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่ 6 นัดแรก ชนะแค่ 2 นัด ร่วงมาอยู่อันดับ 12 .. มีทั้งแพ้ ลิเวอร์พูล, โดน แมนฯ ซิตี้ ไล่ยำ 4-1 และ พ่ายคาบ้านต่อ เวสต์บรอมวิช ในรอบ 35 ปี

มอยส์ โดนแฟนบอลด่าอย่างหนัก ว่าไร้ไอเดียในการทำทีม, เปลี่ยนตัวเชื่องช้า และ ทำทีมเหมือนพวกกลางตาราง พอนำแล้วไปเล่นตั้งรับ จนโดนตีเสมอ มันเกิดขึ้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ มอยส์ ช่างสวนทางกับที่ เซอร์ อเล็กซ์ เคยสร้างตำนานความยิ่งใหญ่เอาไว้ ยิ่งเล่น ยิ่งไกลห่าง จากทีมที่เคยเป็นแชมป์ สู่ทีมอันดับ 7 ของตาราง และ ไม่ทันจบฤดูกาล บอร์ดบริหาร ก็ทนความกดดันจากแฟนบอลไม่ไหว ด้วยการปลด เดวิด มอยส์ ออกจากตำแหน่ง เป็นเฮดโค้ชคนแรกของ ปีศาจแดง ที่โดนปลด ทั้งๆที่ยังไม่จบซีซั่น

มอยส์คุมทีมไปทั้งหมด 51 นัด , ชนะ 26 นัด , เสมอ 10 นัด , แพ้ 15 นัด

2. อัฟราม แกรนท์ : เชลซี

อัฟราม แกรนท์ คือกุนซือโนเนม และ แฟนบอล เชลซี ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนด้วยซ้ำ ตอนที่เขาถูกแต่งตั้งมาเป็นกุนซือของทีม สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้กับสาวก สิงห์บลูส์ เนื่องจากมีการอ้างว่าสาเหตุที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องขอแยกทางกับสโมสร เป็นเพราะ โรมัน อับราโมวิช แต่งตั้งให้ แกรนท์ เข้ามาเป็นผู้อำนวยการฟุตบอล ในช่วงซัมเมอร์ปี 2007

ตอนนั้น แกรนท์ ไม่มีใบอนุญาตคุมทีม “โปรไลเซนซ์” ด้วยซ้ำ แต่กลับได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแทน มูรินโญ่ หน้าตาเฉย ทั้งๆที่ตอนนั้น เชลซี กำลังสร้างความยิ่งใหญ่ และ ต้องการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะเรื่องการใช้เส้นสาย ที่เป็นเพื่อนสนิทกับ เสี่ยหมี 

ถึงแม้ อัฟราม แกรนท์ จะพาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศถึง 3 รายการ โดยเฉพาะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อซีซั่น 2007-08 และ แต่การแพ้จุดโทษต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ทำให้เขาไม่ได้ไปต่อตามคาดในช่วงซัมเมอร์ เพราะเขาไม่ได้มีดีกรีที่จะพาทีมกลับมายิ่งใหญ่แต่อย่างใด รวมถึงสาวก สิงห์บลูส์ ไม่ต้องการให้เขาไปต่อ
อัฟราม แกรนท์คุมทีมไปทั้งหมด 55 นัด , ชนะ 36 นัด , เสมอ 12 นัด , แพ้ 7  นัด

3. ฮอร์เก้ ซามเปาลี : ทีมชาติอาร์เจนติน่า

ฮอร์เก้ ซามเปาลี เปรียบเสมือนเป็นฮีโร่ของทีมชาติชิลี หลังคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา 2015 ด้วยการดวลจุดโทษเอาชนะ อาร์เจนติน่า ไปได้ 4-1 ก่อนจะต่อยอดไปคุมทีม เซบีย่า ถึงแม้จะไม่มีโทรฟี่ติดมือ แต่ถือว่าผลงานเข้าตา พาสโมสรจบท็อปโฟร์ ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เช่นเดิม

ทำให้ ฟ้า-ขาว เล็งเห็นว่า ซามเปาลี กุนซือสายเลือดอาร์เจนไตน์ ผู้นี้ จะต้องเป็นคนที่ใช่ในการพาทีม กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เพราะ ซามเปาลี เกือบทำให้ อาร์เจนติน่า ไม่ได้ผ่านมาเล่น ฟุตบอลโลก 2018 ชนิดที่ต้องลุ้นยันนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือก

จากฮีโร่ของชาติอื่น กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของแฟนบอล เพราะ ซามเปาลี ไม่ได้มีผลงานมัดใจ อาร์เจนติน่า ไว้ได้เลย โดย เวิลด์ คัพ 2018 รอบแบ่งกลุ่ม ที่แพ้ต่อ โครเอเชีย แบบเละเทะ 0-3 มีข่าวว่าเขาได้ถูกยึดอำนาจ ไม่มีสิทธิ์ในการเลือกตัวผู้เล่น ต้องปล่อยให้นักเตะบริหารจัดการทีมกันเอง

เพราะ ซามเปาลี โดนดราม่า ตั้งแต่เลือกตัวผู้เล่นแล้ว ทั้งไม่ยอมเรียกตัวมาลุย เวิลด์ คัพ เมาโร อิคาร์ดี้ ซึ่งตอนนั้นเป็นยอดดาวซัลโว รวมถึงการไม่เรียกใช้บริการ เซร์คิโอ โรเมโร่ นายทวารจอมหนึบ อีกคน พอผลงานไม่เป็นดั่งที่หวัง ก็ไม่รอดที่เขาจะโดนด่า และ ต้องแยกทางไปในที่สุด

โดยซามเปาลี คุมทีมไปทั้งหมด 15 นัด , ชนะ 7 นัด , เสมอ 4 นัด , แพ้ 4  นัด

4. รอย ฮอดจ์สัน : ลิเวอร์พูล

ลิเวอร์พูล อาจตกหลุมพราง ความยอดเยี่ยมของ รอย ฮ็อดจ์สัน สมัยตอนคุม ฟูแล่ม เพราะช่วงนั้น ปู่รอย เคยพา เจ้าสัวน้อย ฝ่าฟันเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ จึงตัดสินใจแต่งตั้งมาคุมทีม แทนที่ ราฟาเอล เบนิเตซ เมื่อปี 2010

แต่ต่อให้ ปู่รอย จะทำดีกับ ฟูแล่ม แค่ไหน เขาก็ไม่เคยเข้ามานั่งในหัวใจแฟนบอล ลิเวอร์พูล เลยด้วยซ้ำ เป็นกุนซือที่สาวก เดอะ ค็อป ไม่เคยต้องการ เพราะประวัติไม่เคยทำทีมใหญ่ประสบความสำเร็จ บวกกับบารมี คงไม่สามารถดึงดูดนักเตะดังๆมาร่วมทีมได้

นับตั้งแต่ที่ ปู่รอย เข้ามาคุม หงส์แดง นักเตะที่เขาดึงเข้ามา กลายเป็นตำนาน (ที่ถูกล้อเลียนมาตลอด) ไม่ว่าจะเป็น พอล คอนเชสกี้, มิลาน โยวาโนวิช, แบรด โจนส์ และ คริสเตียน โพลเซ่น

จะดีหน่อยก็คือ โจ โคล กับ ราอูล เมราเลส แต่ผลงาน ลิเวอร์พูล แย่เกินคำบรรยาย เคยหล่นไปอยู่อันดับ 19 ของตาราง เคยมีนัดหนึ่ง ที่ 11 ผู้เล่นตัวจริง มีแต่ระดับ เกรดบี เกรดซี เท่านั้น

ถึงขั้นที่แฟนบอล หงส์แดง ตะโกนสาปส่ง และ โห่ไล่ให้ ปู่รอย ออกจากตำแหน่ง ท้ายที่สุด ฮ็อดจ์สัน ก็ต้องแยกทางกับทีม หลังคุมมา 6 เดือน คุมทีมไปทั้งหมด 31 นัด , ชนะ 13 นัด , เสมอ 8 นัด , แพ้ 10 นัด ก่อนจะเป็น เคนนี่ ดัลกลิช เข้ามากอบกู้สถานการณ์

5. ราฟาเอล เบนิเตซ : เรอัล มาดริด - เอฟเวอร์ตัน

ว่ากันตามตรง ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นกุนซือที่มีแฟนบอลทีมตัวเองไม่ชอบหน้าเยอะเหมือนกันนะครับ ยกเว้น ลิเวอร์พูล กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่เชิดชูเฮดโค้ชรายนี้เป็นอย่างมาก โดยกับ หงส์แดง นั้น เอล บอส เคยพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 5 ยุคพลิกนรกเอาชนะ เอซี มิลาน ส่วน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เขาก็สามารถพาทีมรอดตกชั้นได้ตลอด ทั้งๆที่มีงบแบบจำกัดจำเขี่ย

แต่ เบนิเตซ มักเป็นผู้ร้ายในสายตาแฟนบอล โดยเฉพาะสโมสรที่เขาต้องไปสานต่อความสุดยอด ที่กุนซือคนเก่าเคยทำไว้

อาทิ เรอัล มาดริด .. เบนิเตซ ต้องมาทำหน้าที่แทน คาร์โล อันเชล็อตติ ซึ่งมีดีกรีพา ราชันชุดขาว เป็นแชมป์ยุโรป .. แค่ เอล บอส มีชื่อมาคุมทีม ก็โดนต่อต้านแล้ว โดยเฉพาะจะเอาอะไรไปคุมพวก ซูเปอร์สตาร์ แถมยังมีข่าวลือด้านลบมากมาย ทั้งไปสอน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงฟรีคิก หรือ สอน ลูก้า โมดริช จ่ายบอล

ชนะเท่าทุน แต่แพ้โดนโห่ไล่ทันที ซึ่ง เบนิเตซ มีสถิติคุม มาดริด 25 นัด ชนะ 17 เสมอ 5 แพ้ 3 
คิดเปอร์เซ็นต์ชนะ 68% เอาจริงๆก็ไม่ได้น่าเกลียด แต่รูปแบบการเล่น คงไม่ถูกใจแฟนบอล ด้วยกระแสต่อต้าน ทำให้ เบนิเตซ ถูกไล่ออกในเวลาแค่ 6 เดือน

ส่วนอีกหนึ่งทีมคือ เอฟเวอร์ตัน เพราะ เบนิเตซ เหมือนมีตรา ลิเวอร์พูล แปะบนหน้าผาก แต่วันหนึ่งกลับได้มาคุม เอฟเวอร์ตัน คู่อริตลอดกาล แน่นอนว่า สาวก ทอฟฟี่สีน้ำเงิน ไม่มีวันยอมรับได้ ยิ่งผลงานคุมทึมแย่จัด .. 19 นัดแรก ได้แค่ 19 นัด ร่วงมาอยู่โซนหนีตกชั้น 

เมื่อผลงานแย่ แฟนบอล ต่อต้าน ทำให้ท้ายที่สุด เอฟเวอร์ตัน ตัดสินใจปลด เบนิเตซ เพราะถ้าปล่อยให้นานกว่านี้ เผลอๆมีตกชั้น 

6. กีเก้ เซเตียน : บาร์เซโลน่า

นับตั้งแต่ บาร์เซโลน่า แยกทางกับ หลุยส์ เอ็นริเก้ ผู้ที่เคยพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ สโมสรก็เคว้งคว้าง อยู่นาน 2 นาน เพราะ 2 กุนซือ ที่ถัดจาก เอ็นริเก้ นับว่าเดินเป็นเส้นขนานกับสาวก เจ้าบุญทุ่ม ที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน 

โดยคนที่เข้ามาแทน เอ็นริเก้ ก็คือ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ อดีตกุนซือ แอธเลติค บิลเบา ถึงแม้เขาจะพาทีมนำเป็นจ่าฝูง แต่ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง โดยผลงาน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือตัวตัดสิน เขาพา บาร์ซ่า ร่วงตกรอบ 2 ปี ด้วยการแพ้ให้กับ โรม่า และ ลิเวอร์พูล ทั้งๆที่นัดแรก ชนะมาด้วยสกอร์ขาดลอย

แต่แฟน บาร์ซ่า กลับปวดเฮด มากกว่าเดิม หลังปลด บัลเบร์เด้ เพราะบอร์ดบริหารเลือกไปแต่งตั้ง กีเก้ เซเตียน กุนซือที่ไม่เคยผ่านทีมยักษ์ใหญ่มาก่อน และ ผลงานยิ่งแย่กว่าเดิม 
คุมทีมไปทั้งหมด 25 นัด , ชนะ 16 นัด , เสมอ 4 นัด , แพ้ 5 นัด

6 เดือนที่ กีเก้ คุม บาร์ซ่า นอกจากเสียแชมป์ให้กับ เรอัล มาดริด ยังมีความชอกช้ำแพ้ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ถึง 2-8 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงบรรยากาศภายในห้องแต่งตัวมันเละเทะหมดแล้ว ทำให้แฟนบอล เจ้าบุญทุ่ม ทนไม่ไหว เรียกร้องให้ปลดออกจากตำแหน่ง เพราะถ้าปล่อยคงแย่ไปกว่านี้ สุดท้าย บาร์ซ่า ก็แยกทางกับ กีเก้ เซเตียน จริงๆ

7. สตีฟ แม็คคลาเรน : ทีมชาติอังกฤษ

ย้อนกลับไปตอนที่ สเวน-โกรัน อีริคส์สัน อำลาตำแหน่งกุนซือทีมชาติอังกฤษ หลังตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย อีกครั้ง ในศึก ฟุตบอลโลก 2006 ทางเอฟเอ พยายามแต่งตั้ง หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ เข้ามาแทนที่ แต่โดนปฏิเสธ ทำให้ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปหาตัวเลือกที่สอง อย่าง สตีฟ แม็คคลาเรน 

การแต่งตั้ง สตีฟ แม็คคลาเรน ถือว่าเป็นสิ่งที่ เซอร์ อเล็กซ์ เห็นดีเห็นชอบด้วย แต่กระนั้นผลงานของเฮดโค้ชรายนี้ กับ ทีมชาติอังกฤษ กลายเป็นแค่ ไอ้หน้าโง่ ที่สื่ออังกฤษ มอบคำนิยามให้ เพราะเขาทำทีมแพ้คาบ้านต่อ โครเอเชีย ในนัดสุดท้าย จน ทรี ไลอ้อนส์ ไม่ได้ไปเล่น ยูโร 2008 รอบสุดท้าย นับเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ นับตั้งแต่ตกรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 1994

แม็คคลาเรน ทำทีมได้แย่มาก คุมทีม 18 นัด ชนะได้แค่ 9 เกม นัดสำคัญที่เจอกับ โครเอเชีย ขอแค่เสมอ ก็จะได้ไป ยูโร 2008 แต่ดันแพ้ โครเอเชีย ซะอย่างนั้น ทั้งจัดตัวประมาท ที่เลือกดรอป เดวิด เบ็คแฮม กับ แอชลี่ย์ โคล เป็นสำรอง จำได้เลยว่า หลังจบเกม แทนที่เขาจะเดินไปปลอบขวัญนักเตะ หรือ แสดงความรับผิดชอบต่อหน้าแฟนบอล แต่ แม็คคลาเคน กลับเดินหนีเข้าห้องแต่งตัวทันที

แน่นอนว่า ทั้งสื่ออังกฤษ และ แฟนบอล สิงโตคำราม สาปส่ง สาปแช่ง กันยกใหญ่ เพียงแค่ 1 วันให้หลังจากการตกรอบ อังกฤษ ก็สั่งปลด สตีฟ แม็คคลาเรน ทันที และ นับตั้งแต่นั้น เขาก็ไม่เคยได้คุมทีมใหญ่อีกเลย โดยมีไปคุมทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก็ทำทีมตกชั้นมาแล้วเช่นกัน

8. จามเปาโล เวนตูร่า : ทีมชาติอิตาลี

กุนซือทีมชาติอิตาลี ไม่เคยขาดยอดฝีมือ แต่กระนั้นหลังจากแยกทางกับ อันโตนิโอ คอนเต้ ก็ไปแต่งตั้ง จามปิเอโร เวนตูร่า นับเป็นเฮดโค้ชที่สาวก อัซซูรี่ เบะปากมองบนมากที่สุด เพราะเขาแทบไม่มีดีกรีอะไรมาโชว์ให้แฟนบอลให้เห็น และ แทบไม่เคยคุมทีมยักษ์ใหญ่มาก่อน 

แค่ตอนแต่งตั้ง เวนตูร่า ก็โดนแฟนบอล ด่าเช้า ด่าเย็น อยู่แล้ว ยิ่งมาเจอผลงานการคุมทีม สุดจะย่ำแย่ ทั้งทำทีมสไตล์โบราณ, ไม่มีเสน่ห์ดึงดูด, ไร้แท็คติคแบบแผน และ เป็นกุนซือ อิตาลี ที่ฝีมือห่วยแตกที่สุดในรอบหลาย 10-20 ปี ยิ่งโดนเกลียดขี้หน้าเข้าไปใหญ่

เวนตูร่า ได้คุมทีมชาติอิตาลี เพียงแค่ 1 ปีเศษ (18 กรกฎาคม 2016 - 15 พฤศจิกายน 2017) 
คุมทีมไปทั้งหมด 16 นัด , ชนะ 9 นัด , เสมอ 4 นัด , แพ้ 3 นัด

ก็มีอันต้องถูกอัปเปหิออกจากตำแหน่ง เพราะสไตล์ทำทีมแบบไร้กึ๋น และ ขาดบารมี ทำให้ท้ายที่สุด อัซซูรี่ ไม่ผ่านเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2018 ณ ประเทศรัสเซีย

9.  เรย์มงด์ โดเมเน็ค : ทีมชาติฝรั่งเศส

เรย์มงด์ โดเมเน็ค ชื่อนี้แฟนบอลทีมชาติฝรั่งเศส จำไม่มีลืม เพราะต่อให้เขาจะพา ตราไก่ เป็นรองแชมป์ ฟุตบอลโลก 2006 แต่สิ่งที่ผู้คนจดจำ และ ด่าทอมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือการทำให้ทีมชาติฝรั่งเศส แตกสลาย แบบไม่เหลือชิ้นดี ในการแข่งขัน เวิลด์ คัพ 2010

ตั้งแต่ประกาศรายชื่อ 23 คนสุดท้าย .. เรย์มงด์ โดเมเน็ค ทำให้แฟนบอลเกลียดขี้หน้ามากกว่าเดิม ด้วยการตัดชื่อ ปาทริค วิเอร่า, ซามีร์ นาสรี่ และ คาริม เบนเซม่า ออกจากทีม แต่กลับไปเรียกนักเตะที่โปรไฟล์เป็นรอง อย่างพวก ยานน์ เอ็มวีล่า หรือ มาติเยอ วัลบูเอน่า เข้าติดทีมแบบเซอร์ไพรส์

ยิ่งไปกว่านั้น เรย์มงด์ โดเมเน็ค ดันเลือกกัปตันทีมเป็น ปาทริซ เอวร่า มากกว่าเป็น เธียร์รี่ อองรี กองหน้าตัวความหวัง พร้อมบอกว่า คิง อองรี จะไม่ได้เป็นตัวจริง เหมือนสร้างความแตกแยกภายในแคมป์กลายๆ ไหนจะมีการฟาดปากกับ ฟลอร็องต์ มาลูด้า อีกด้วย

เรื่องราวข่าวฉาวต่างๆ ยิ่งทำให้แฟนบอลเกลียด เรย์มงด์ โดเมเน็ค มากขึ้น เพราะมองว่ากุนซือรายนี้ไม่มีวันพาทีมเจริญ มันมีปัญหามากมาย ทั้งทะเลาะกับ นิโกล่าส์ อเนลก้า หรือ นักเตะ ฟาดปากกับทีมสตาฟฟ์โค้ช สุดท้าย ฝรั่งเศส ตกรอบแรก ฟุตบอลโลก 2010 ชนิดที่ทีมแตกเป็นเสี่ยงๆ นับเป็นความทรงจำที่แย่สุดๆ และ ทุกวันนี้ก็ยังเกลียด เรย์มงด์ โดเมเน็ค แบบเข้าไส้

โดยโดเมเน็ค คุมทีมไปทั้งหมด 79 นัด , ชนะ 41 นัด , เสมอ 23 นัด , แพ้ 15 นัด

10. คาร์ลอส เคยรอซ : เรอัล มาดริด 

คาร์ลอส เคยรอซ มีชื่อเสียงจากการได้เป็นผู้ช่วย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อครั้งอยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนจะถูกหวยได้กลายมาเป็นกุนซือ เรอัล มาดริด เมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2003 โดยต้องแบกรับความกดดันต่อจาก บิเซนเต้ เดล บอสเก้ ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ราชันชุดขาว ทั้งการคว้าแชมป์ ลา ลีกา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์  ลีก

ที่สำคัญ เคยรอซ ต้องเป็นกุนซือ กุมบังเหียยุคแรกของ กาลาคติกอส ดังนั้นหากเขาผิดพลาดเพียงเล็กน้อย คำก่นด่าจะถาโถมมาหาเขาทันที และ มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เขาถูกแฟนบอล มาดริด แอนตี้ + โจมตี อย่างหนัก เพราะยุค เดล บอสเก้ สามารถนำ ราชันชุดขาว ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน

แต่พอมาเป็นยุค เคยรอซ ดันมีมือไม่ถึง ใน ลา ลีกา สเปน พาทีมจบอันดับ 4 เท่านั้น ส่วน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็จอดป้ายเพียงแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ทั้งๆที่คุณมี ซีเนอดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้, โรนัลโด้ และ เดวิด เบ็คแฮม ในทีม กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นเมื่อแฟนบอลต่อต้าน ก็ทำให้ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร ตัดสินใจปลด เคยรอซ ออกจากตำแหน่ง ในเวลาเพียงแค่ 1 ปี

คุมทีมไปทั้งหมด 59 นัด , ชนะ 34 นัด , เสมอ 11 นัด , แพ้ 14 นัด

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline