logo-heading

เนื่องจาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ บุกไปนำก่อน 2 ลูก ในช่วงครึ่งแรก แต่ทว่าครึ่งหลัง หนังคนละม้วน เพราะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลิกนรกแซงเอาชนะ 4-2

ซึ่งเกมนี้ ริยาด มาห์เรซ คือพระเอกของ เรือใบสีฟ้า จริงๆ ทั้งยิง ทั้งจ่ายให้กับทีม เก็บ 3 คะแนนสำคัญได้สำเร็จ โดยสิ่งน่าสนใจยังมีอีกเพียบไปติดตามกันได้เลยครับ

- จบครึ่งแรกแบบช็อตฟีลแฟน เรือใบ

ฟุตบอลลูกกลมๆ มีลมอยู่ข้างใน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ประโยคนี้ยังคงคลาสสิคอยู่เสมอ เพราะ 45 นาทีแรก เป็น เรือใบสีฟ้า ที่ทำผลงานได้ดีกว่า มีโอกาสยิงเยอะกว่า โดยเฉพาะ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ที่ได้จังหวะจบสกอร์ 2 ดอกเน้นๆ แต่ก็ซัดไปติดเซฟ อูโก้ ยอริส และ โหม่งข้ามคานออกไปเอง

จากภาพรวม น่าจะจบด้วยสกอร์ 0-0 ในช่วงครึ่งแรก แต่แล้ว เอแดร์ซอน นายทวาร เรือใบสีฟ้า กลับสร้างงานให้ทีมตัวเอง หลังจ่ายบอลไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปจ่ายบอลพลาด เล่นสั้นๆในกรอบเขตโทษตัวเอง ซึ่ง โรดรี้ ไม่พร้อมเล่น ก่อนบอลจะไปเข้าทาง เดยัน คูลูเซฟสกี้ ยิงสวนตัวเข้าไปตุงตาข่าย ให้ สเปอร์ส ออกนำ 1-0 เรียกว่าความผิดพลาดครั้งนี้ ทำเอา เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ลงไปนั่งกุมหน้า แบบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหลือเชื่อยังไม่จบแค่นั้น เพราะการเสียประตูแรก ทำให้นักเตะ เรือใบ เสียสมาธิไปดื้อๆ พวกเขาเสียบอลกันง่ายๆ ก่อนจะโดนความขยันของ แฮร์รี่ เคน ตามมาสไลด์แย่งในกรอบเขตโทษ แมนฯ ซิตี้ ก่อนจะซัดเต็มแรง ไปติดเซฟ เอแดร์ซอน แต่บอลยังเป็นใจ กระดอนมาเข้าหัว เอแมร์ซอน โรยัล โหม่งสวนเข้าไปตุงตาข่าย ให้ สเปอร์ส ออกนำ 2-0 แบบเซอร์ไพรส์จริงๆ เพราะไม่คิดว่าจบ 45 นาที จะเป็นทีมเยือน ที่เป็นฝ่ายออกนำ

- ครึ่งหลังหนังคนละม้วน

ด้วยฟอร์มของ แมนฯ ซิตี้ ที่แพ้คู่แข่งมา 2 นัดติดต่อกัน ทั้งปราชัยต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย คาราบาว คัพ และ บุกไปพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 จึงมองกันว่าลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อาจจะเมาหมัด คงมีแฟนบอลไม่เยอะ ที่จะคิดว่า เรือใบสีฟ้า จะพลิกนรกกลับมาแซงได้ โดยเฉพาะการไม่มี เควิน เดอ บรอยน์ ที่มีชื่อนั่งอยู่ข้างสนาม

อย่างไรก็ตาม ยี่ห้อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยยอมแพ้ใครง่ายๆอยู่แล้ว พวกเขาทำให้เห็นว่าแมตช์พลิกนรกยิงแซงคู่แข่งในหลายๆนัดก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คแต่อย่างใด เพราะเริ่มครึ่งหลัง กลายเป็นหนังคนละม้วนทันที

โดย เรือใบสีฟ้า เร่งเครื่องกลับมาไล่ตามตีเสมอ สเปอร์ส 2-2 ได้อย่างสุดมันส์ โดยลูกแรกนาที 51 ส่วนลูกตีเสมอ 2-2 นาที 53 ใช้เวลาเพียงแค่ 2 นาที 9 วินาที กลับคืนสู่เกมได้อีกครั้ง คราวนี้กลายเป็นนักเตะ ไก่เดือยทอง เสียขวัญไปหมดแล้ว ถูกทางเจ้าบ้านขย่มอยู่ฝ่ายเดียว

กระทั่ง ริยาด มาห์เรซ มาโชว์ความสามารถกระชากหนี เบน เดวี่ส์ ก่อนจะยิงยัดเสาแรก บอลติดแฉลบเล็กน้อย บวกกับ อูโก้ โยริส ปิดเสาแรกไม่ดี กลายเป็น แมนฯ ซิตี้ พลิกนรกกลับมาแซงนำ 3-2 ก่อนที่ดาวเตะทีมชาติแอลจีเรีย จะมายิงปิดกล่องลูกที่ 4 พาทัพ เรือใบสีฟ้า คว้า 3 แต้มสำคัญ ไล่ตาม อาร์เซน่อล จ่าฝูง เหลือ 5 คะแนน แต่แข่งมากกว่า 1 นัด

- มาห์เรซ ดับความหวังกองแช่ง

ต่อให้ สเปอร์ส จะเป็นคู่อริตลอดกาลของ อาร์เซน่อล แต่ก็เชื่อว่าสาวก เดอะ กันเนอร์ส จำนวนไม่น้อย หวังให้ลูกทีม เป๊ป สะดุดในเกมนี้ เพื่อโอกาสทำแต้มฉีกหนีต่อไป ซึ่งจริงๆก็เกือบแช่งสำเร็จ แต่เหมือนว่า แมนฯ ซิตี้ มาทำให้มีความหวัง แล้วก็จากกันไป

เพราะ เดอะ ซิตี้เซ่นส์ แสดงให้เห็นถึงดีกรีการเป็นเจ้าของแชมป์ พรีเมียร์ลีก 4 ครั้ง จาก 5 สมัยหลังสุด ต่อให้จะเพลี่ยงพล้ำไปก่อน แต่ก็สามารถคัมแบ็กกลับมาได้ ซึ่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก ริยาด มาห์เรซ โดยเขามีส่วนร่วมทั้ง 4 ประตู !!!

อย่างลูกแรก เขาเป็นคนพาบอลไปสุดเส้นหลัง ก่อนจะเปิดมาตรงกลางกรอบ 6 หลา บอลขลุกขลิกสกัดกันไม่ขาด ไปเข้าทางปืน ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ซัดเต็มๆ ส่วนลูกตีเสมอ 2-2 เขาเป็นคนแอสซิสต์ให้กับ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ได้กลับยิงประตูอีกครั้ง และ เป็นลูกที่ 22 ในลีกซีซั่นนี้

และ ไม่รู้ว่า มาห์เรซ ไปกินอะไรมา เพราะเกมนี้ระเบิดฟอร์มเทพออกมาให้แฟนบอลได้เห็นเป็นขวัญตา ทั้งยิงแซงนำ 3-2 และ โชว์ความจมูกไว ใช้ความผิดพลาดของกองหลัง สเปอร์ส โฉบไปวิ่งยิงข้ามตัว โยริส เป็นประตูตอกฝาโรงให้ทีมชนะ 4-2 พร้อมกับคว้าตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครอง

- ความพ่ายแพ้ทำ สเปอร์ส เสียหายหนักมาก

คือการบุกมาเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม และ พ่ายแพ้กลับไป เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่กระนั้นสำหรับ สเปอร์ส มันก็ยากจะยอมรับเหมือนกัน เพราะพวกเขาอุตส่าห์ยิงนำได้ก่อนถึง 2 ประตู แล้วแท้ๆ

ซึ่งการพ่ายแพ้ของ สเปอร์ส ส่งผลให้โอกาสจบท็อปโฟร์ ยากลำบากขึ้นไปอีก เพราะเล่นแพ้ให้ทีมหัวตาราง 2 นัดติดต่อกัน ก่อนหน้านี้ก็เปิดบ้านแพ้ อาร์เซน่อล จ่าฝูง 0-2 ส่งผลให้ ไก่เดือยทอง ยังคงรั้งอยู่อันดับ 5 ของตาราง แข่ง 20 นัด หยุดอยู่ที่ 33 คะแนน แข่งมากกว่า นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด อันดับ 4 อยู่ 1 นัด และ ตามหลังอยู่ 5 คะแนน ไหนจะมีพวก ฟูแล่ม หรือ ไบรท์ตัน ไล่จี้มาแบบหายใจรดต้นคอ

นอกจากนี้ อนาคตของ อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือใหญ่ ดูแล้วมีแนวโน้มแยกทางกับทีมหลังจบซีซั่น ตามกระแสข่าวที่ออกมา เนื่องจากผลงานช่วงหลังไม่ค่อยน่าประทับใจ อีกทั้งวิสัยทัศน์การทำทีม ไม่สอดคล้องกับเหล่าบอร์ดบริหาร ดังนั้นต้องรอดูกันว่า ท่ามกลางปัญหาที่มากมาย คอนเต้ จะพา สเปอร์ส บรรลุเป้าหมายได้หรือไม่

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline