logo-heading

หลังจบจากศึกฟุตบอลโลก 2022 มา แรชฟอร์ด ยกระดับผลงานตัวเองขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ และรักษามาตรฐานเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด เฝ้ารอคอยมาตลอดว่าอยากเห็นลูกหม้อคนนี้คงประสิทธิภาพเอาไว้ให้ได้ ไม่เหมือนที่ผ่านมาที่ 3 วันดี 4 วันแย่

ตอนนี้ดาวเตะวัย 25 ปี สถาปนาตัวเองเป็นคนสำคัญในแผงเกมรุกเรียบร้อยแล้ว 10 ประตู จาก 10 เกมล่าสุด พ่วงด้วยอีก 2 แอสซิสต์ คือตัวเลขที่การันตีถึงความร้อนแรงได้เป็นอย่างดี

ย้อนกลับไป แรชฟอร์ด ได้รับโอกาสกับทีมชุดใหญ่ของทัพ "ปีศาจแดง" เมื่อฤดูกาล 2015-16 ภายใต้การทำทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล ที่กล้าให้โอกาสกับเด็กหนุ่มที่ตอนนั้นเพิ่งมีอายุเพียง 17 ปี เท่านั้น 

ซึ่งเกมในวันนั้นคือศึกยูโรปา ลีก ที่ดวลกับ มิดทิลแลนด์ ว่าแล้ว แรชฟอร์ด ที่ได้โอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงก็ตอบแทนความไว้ใจด้วยการเหมาคนเดียว 2 ประตู พาทีมคว้าชัยชนะด้วยสกอร์ 5-1 ก่อนที่อีกไม่กี่วันให้หลังจะตอกย้ำความยอดเยี่ยมด้วยการทำอีก 2 ตุง กับ 1 แอสซิสต์ในเกมลีกที่ต้องดวลกับ อาร์เซน่อล

แน่นอนในห้วงเวลานั้นทั้งสื่อ หรือแฟนบอล ต่างยกย่องฝีเท้าของเด็กหนุ่มคนนี้ว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นอนาคตของ ยูไนเต็ด ได้อย่างแน่นอน เพราะทั้งเรื่องของสปีดความเร็ว การพาบอลไปข้างหน้า หรือการจบสกอร์ มันมีความลงตัวในทุกอย่าง แถมอายุยังน้อย มีเวลาอีกเยอะในการพัฒนาผลงานไปข้างหน้า

"มาร์คัส แรชฟอร์ด" : กับฟอร์มที่ (โคตร) ดุดัน ทำประตูต่อเนื่อง

ทว่าวันเวลาผ่านไปดูเหมือนสิ่งที่แฟนบอลคาดหวังอยากให้เป็นจะส่วนทางกับความเป็นจริงที่ว่า แรชฟอร์ด ไม่ได้ยกระดับพัฒนาฝีเท้าไปอยู่ในจุดที่เป็นเบอร์ต้นๆ ของวงการได้

เคยมีการเปรียบเทียบกันระหว่าง แรชฟอร์ด กับ เอ็มบัปเป้ ว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นคลื่นลูกใหม่ เป็นอนาคตของวงการลูกหนังในรูปแบบที่เรียกได้ว่าสตาร์ที่สร้างอิมแพ็คในหลายๆ มุม ทว่าในวันนี้เหมือนคำตอบมันจะค่อนข้างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เอ็มบัปเป้ แม้จะยังคงวนเวียนอยู่ในลีกบ้านเกิด แม้จะถูกตั้งคำถามมากมายในการออกมาเจริญยังลีกต่างแดน ทว่าผลงานที่เจ้าตัวทำไว้ในศึกฟุตบอลโลกกับทีมชาติฝรั่งเศส มันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้เก่งกาจมากขนาดไหน และพร้อมที่จะเป็นความหวังของโลกฟุตบอลต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่

วกกลับมาที่ แรชฟอร์ด หนึ่งในสิ่งที่หยุดยั้งเขาไม่ใช่น้อยคือเรื่องของทัศนคติ เหมือนบางช่วงที่หลุดโฟกัสเรื่องของฟุตบอล และกลายเป็นที่จับจ้องของโลกโซเชียล ซึ่งทำให้การพัฒนาฝีเท้าของเขามันหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ยกระดับตามวันเวลาที่ผ่านไป

จากการเปิดตัวอย่างร้อนแรงกับ แมนฯ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่ปี 2016-17 จนถึงซีซั่น 2018-19 แรชฟอร์ด ทำประตูในแต่ละฤดูกาลได้ไม่เกิน 13 ตุง มาตลอด ทั้งที่เป็นตัวหลักลงสนามไปมากกว่า 50 เกม

จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนในยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามาคุมทีม จะด้วยวิธีการจัดการของ "น้าลูกอม" ที่เข้าใจนักเตะ หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ แรชฟอร์ด สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาได้แบบผิดหูผิดตา กลายเป็นแนวรุกคนสำคัญทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ซัดเกิน 20 ตุงต่อซีซั่น มา 2 ฤดูกาลติดต่อกัน

กลายเป็นห้วงเวลาระหว่างปี 2019-2021 คือช่วงที่ดีที่สุดของเขาที่ผลิตสกอร์ได้อย่างมากมาย พร้อมได้รับคำสรรเสริญพอสมควร 

กระนั้นนอกจากคำชม ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ให้ได้เห็นอยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของการตัดสินใจในจังหวะสุดท้าย โดยปกติ แรชฟอร์ด ถือว่าเป็นคนที่มีความเฉียบขาดมาพอสมควร ทว่าถ้าในจังหวะหลุดเดี่ยว หรือต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาด มักจะแสดงอาการผิดพลาดให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

และก็อย่างที่ได้กล่าวไปมาตรฐานของ แรชฟอร์ด ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ แถมเหมือนถอยหลังลงคลองหนักกว่าเก่า โดยเฉพาะเมื่อซีซั่นก่อนที่ทำประตูได้เพียงหยิบมือ 5 ตุงเท่านั้น จากการลงสนาม 32 เกม

"มาร์คัส แรชฟอร์ด" : กับฟอร์มที่ (โคตร) ดุดัน ทำประตูต่อเนื่อง

ประเด็นนี้จะกล่าวโทษตัวนักเตะเพียงอย่างเดียวก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย ภาพรวมเรื่องของแท็คติก การบริหารทีม หรือการใช้ทรัพยากรนักเตะ กุนซือต้องรับผิดชอบด้วยส่วนหนึ่ง 

จนกระทั่งมาสู่ยุคของ เอริค เทน ฮาก ที่ขึ้นชื่อเรื่องของความเนี๊ยบ เรื่องวินัยคือหัวข้อแรกๆ ที่เขาจะเข้ามายกระดับทีม และที่สำคัญคือการยกระดับลูกทีมให้พัฒนาเดินไปข้างหน้ามากกว่าที่เคยเป็น

แน่นอนว่ามันคงต้องใช้เวลาในการปลุกปั้น จนกระทั่งเราได้เห็นผลลัพธ์แล้วว่ามันดูดีขึ้นมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ลุค ชอว์, อารอน วาน-บิสซาก้า หรือแม้กระทั่ง เฟร็ด ที่ไม่ใช่บราซิลเซินเจิ้นเหมือนที่เคยถูกวิจารณ์มาก่อนหน้านี้ และหลักฐานชัดเจนที่สุดคงเป็นผลงานของ มาร์คัส แรชฟอร์ด

ก่อนที่จะหยุดพักให้ศึกฟุตบอลโลก แรชฟอร์ด ทำประตูในพรีเมียร์ลีกไปได้เพียง 4 ตุง เท่านั้น ทว่าหลังเรื่องเริ่มติด 6 เกมลีกหลังสุดพี่แกกระทุ้งไปได้มากถึง 5 ประตู ด้วยกัน

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนคือความมุ่งมั่นที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลไปถึงเรื่องของความมั่นใจ ที่เมื่อก่อตัวขึ้นเมื่อไหร่ความน่ากลัว และความเป็นเพชฌฆาตก็จะออกมาจากตัวเขาเมื่อนั้น

อย่างที่กล่าวไปพื้นฐานของเขาเป็นคนที่ยิงบอลได้เฉียบคมอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องปรับเล็กน้อยในเรื่องการตัดสินใจ และกับปัจจุบัน แรชฟอร์ด เริ่มทำลายภาพเหล่านั้นทิ้งไปได้หมดแล้ว จะใกล้ หรือไกล เรามักหวังผลจากเขาได้เสมอเมื่อได้ง้างเท้าสร้างโอกาส

หลักฐานชัดเจนที่ตอกย้ำคือประตูล่าสุดที่ทำได้ใส่ ฟอเรสต์ เมื่อจัดการลากตะลุยกว่าครึ่งสนาม ก่อนจบสกอร์ด้วยความเฉียบขาดนับเป็นตุงที่ 10 จาก 10 เกมหลังสุดในทุกรายการ

มองจากสถิติ มองจากผลงานในสนามตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขาแล้วนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของ ยูไนเต็ด ทั้งทำประตูได้ มีส่วนร่วมที่ดีต่อเกม และพาสโมสรเดินหน้าลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว

ตัดความอคติออกไปต้องชื่นชมที่สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ ก้าวข้ามขีดจำกัดที่เหมือนหลุมพรางของตัวเองมาตลอดในช่วงหลัง

"เขามีความรับผิดชอบ ผมคาดหวังประตู และแอสซิสต์จากเขาทุกสัปดาห์ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเล่นด้วยความมั่นใจ เขาจะผ่านคุณไปในสถานการณ์ตัวต่อตัว" 

หนึ่งในคำชื่นชมของ รอย คีน ที่ปกติไม่ค่อยออกปากกล่าวชมใครได้ง่ายๆ แต่ แรชฟอร์ด สามารถเอาชนะใจตำนานแข้งคนนี้ได้อย่างหมดจด

จากนี้คือการรักษามาตรฐานที่ตั้งเอาไว้ให้ได้เพียงเท่านั้น ซึ่งถ้าเจ้าตัวสอบผ่านจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีต่อตัวเขา และแฟนบอลมากเหลือเกิน

เพราะที่ผ่านมาก็คือจุดนี้เพียงอย่างเดียวที่ แรชฟอร์ด ยังไม่อาจก้าวข้ามไปได้

ทว่าถ้าดูจากทิศทาง ณ ตอนนี้ มีโอกาสไม่น้อยที่ ดร.แรชฟอร์ด จะติดลมบน และฟอร์มแรงแบบนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคว้าความสำเร็จครั้งแรกในรอบ 6 ปี กับสโมสรให้สำเร็จ

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline