logo-heading

เกมนี้มันเป็นการปลดล็อคอะไรหลายๆอย่างของทัพ หงส์แดง หลังผลงานห่วยแตกเกินบรรยายในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน ก็กลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง หลังเปิดตัว ฌอน ไดช์ ได้เหมือนฝัน เมื่อสัปดาห์ก่อน เอาเป็นว่าเกมนี้มีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันเลยครับ

- โม ซาลาห์ กลับมายิงประตู

ฤดูกาลนี้ ถือว่าเป็นฤดูกาลที่เงียบเหงาที่สุดของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เลยก็ว่าได้ หลังอยู่ค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล มา 6 ซีซั่น โดยเพิ่งยิงไปเพียงแค่ 8 ประตู จากการลงสนาม 21 นัด ในลีกซีซั่นนี้ พร้อมคำครหาที่ว่า ผลงานไม่คุ้มค่า กับ ค่าเหนื่อยที่พุ่งสูงถึง 3 แสน 5 หมื่นปอนด์

กระนั้นด้วยบทบาทใหม่ ที่ ซาลาห์ ต้องปรับตัวถ่างออกไปริมเส้นมากขึ้น รวมถึงการต้องร่วมเล่นกับ ดาร์วิน นูนเญซ และ โคดี้ กักโป สองแข้งใหม่ ยังต้องใช้เวลามากกว่านี้ ทำให้ 5 นัดที่ผ่านมาก่อนเจอ เอฟเวอร์ตัน .. บังโม ยิงประตูไม่ได้มาแล้ว 5 นัดติดต่อกันทุกรายการ

กระนั้น ล่าสุด โม ซาลาห์ ก็มายิงประตูให้กับ ลิเวอร์พูล ได้อีกครั้ง และ เป็นประตูสำคัญที่ทำให้ทีมขึ้นนำ เอฟเวอร์ตัน 1-0 ซึ่งต้องชมสปีดของ ดาร์วิน นูนเญซ ที่กระชากเลี้ยงกินพื้นที่ทางฝั่งซ้าย ก่อนจะตบเข้ามาตรงกลางให้ ซาลาห์ จิ้มเปลี่ยนทาง ผ่านมือ จอร์แดน พิคฟอร์ด เข้าไป

และ ประตูนี้ ก็ทำให้ ซาลาห์ มีส่วนร่วมทำประตูในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครบ 100 ลูก เรียบร้อย แบ่งเป็นยิงเอง 71 ตุง แอสซิสต์อีก 29 ลูก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 104 นัด เท่านั้น มีเพียง 2 คน ที่ทำจำนวนนัดได้เร็วกว่านั่นคือ 1. อลัน เชียเรอร์ ใช้เวลา 72 นัด และ 2. เธียร์รี่ อองรี 92 นัด ด้วยกัน

- ประตูปลดล็อคของ กักโป

นับตั้งแต่ที่ โคดี้ กักโป ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล แบบเซอร์ไพรส์แฟนบอล ช่วงที่ตลาดนักเตะเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ยังไม่เปิดตัวด้วยซ้ำ .. เขาก็โดนล้อเลียนมากมายว่าเป็น ลุงพล เวอร์ชั่น เนเธอร์แลนด์ เพราะไม่สามารถสร้างความแตกต่าง หรือ สร้างความอันตรายใดๆให้กับ หงส์แดง ได้เลย ที่สำคัญคือไม่ยิงประตู ! ผิดกับสมัยอยู่ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ซึ่งมีสถิติยิง 13 ลูก กับอีก 17 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 24 นัด ก่อน ฟุตบอลโลก 2022 เริ่มขึ้น

หลังจากพยายามอยู่นาน บวกกับผลงานของ ลิเวอร์พูล ก็สาละวันเตี้ยลง ทำให้ความมั่นใจยิ่งหายไปด้วย แต่กระนั้นล่าสุด โคดี้ กักโป ก็มาปลดล็อคประตูแรก เปิดซิงให้กับ หงส์แดง ได้สำเร็จ ด้วยการยิงต่อหน้าแฟนบอล เดอะ ค็อป ที่สนามแอนฟิลด์ 

ซึ่งเป็นช่วงต้นครึ่งหลัง จังหวะสวนกลับเร็ว เล่นบอลกันแค่ไม่กี่จังหวะ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ฝ่าด่านตรงกลางสนาม ไหลไปด้านขวาให้กับ ซาลาห์ ก่อนส่งต่อให้ เทรนท์ อาร์โนลด์ ปาดไปตรงช่องว่างเสาสอง ให้กับ กักโป แปเข้าไปง่ายๆ ให้ หงส์แดง ขึ้นนำ เอฟเวอร์ตัน 2-0

ไม่ใช่เพียงแค่เกมรุกเท่านั้น ที่วันนี้ กักโป สามารถยิงประตูแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ได้ แต่กระนั้นเขามีสถิติที่ลงไปช่วยเกมรับได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นชนะการดวลกับคู่แข่ง 7 ครั้ง, แท็คเกิ้ลชนะ 2 ครั้ง และ ช่วยทีมกลับมาครองบอลได้ถึง 6 ครั้ง จากผลงานเหล่านี้ คงช่วยให้เจ้าตัวเพิ่มความมั่นใจได้มากขึ้น

ผลงานของ สเตฟาน บายเซติช

บายเซติช ถูกพูดถึงแบบข้ามคืน ว่าเป็นนักเตะที่เล่นโดดเด่นได้เกินวัย ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่าง เอฟเวอร์ตัน ด้วยสกอร์ 2-0 .. วันนั้นเขาลงเล่นเป็นกองกลางหมายเลข 8 แทนที่ ติอาโก้ อัลคันตาร่า ที่มีอาการบาดเจ็บ และ ต้องพักยาวถึง 1 เดือน

บายเซติช สืบทอดการร่ายเวทมนต์ของ ติอาโก้ ได้อย่างไร้ที่ติด อาจด้วยเพราะเวลาฝึกซ้อมเขาเป็นเหมือนลูกศิษย์ ติอาโก้ โดยตรง จริงๆ 2 คนนี้ อายุห่างกันถึง 13 ปี แต่มีความผูกพันธ์กันอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะคุณพ่อของ 2 คน เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมกันสมัยอยู่ เซลต้า บีโก้ 

หลังจบเกม เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ .. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ถึงกับออกปากชม บายเซติช ว่า  "นับตั้งแต่ บายเซติช เริ่มเล่นให้กับเรา เขาน่าจะเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของทีม" ไหนจะมี สตีเว่น เจอร์ราร์ด เข้ามาคอมเมนท์ยกย่องผลงาน โดยมีสถิติดังนี้

สัมผัสบอล 51 ครั้ง
จ่ายบอลสําเร็จ 76 %
จ่ายบอลเข้าพื้นที่สุดท้าย 5 ครั้ง
สร้างสรรค์โอกาส 2 ครั้ง (มากที่สุดในเกม)
ดวลกลางอากาศชนะ 100%
แท็กเกิ้ลชนะ 7 ครั้ง (มากที่สุดในเกม)
แย่งบอลกลับมาครอง 5 ครั้ง
ดวลภาคพื้นดินชนะ 4 ครั้ง
และ เคลียร์บอล 1 ครั้ง 

เรียกว่า โดดเด่นทั้งเกมรุก ที่คอยวางบอล และ เกมรับ ที่่ช่วยตัดบอลได้หลายครั้ง

- เมอร์ซี่ย์ ไซด์ อิส เร้ด

ไม่ว่าผลงานจะต่างกันมากแค่ไหน แต่ถ้า ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตัน โคจรมาพบกันเมื่อไหร่ จะเต็มไปด้วยความดุเด็ดเผ็ดมันส์ ใส่กันไม่ยั้ง สมกับเป็นดาร์บี้แมตช์ แห่ง เมอร์ซี่ย์ ไซด์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็น หงส์แดง ที่สามารถเก็บชัยชนะไปได้

และ ศึก เมอร์ซี่ย์ ไซด์ ก็ยังคงเป็น สีแดง ที่ครองเมืองเหมือนเดิม โดยเฉพาะการเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ เรียกว่าผูกปีขาด สามารถเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ได้อยู่ตลอด ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2000 ลิเวอร์พูล เปิดบ้านแพ้ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน ในศึก พรีเมียร์ลีก ไปเพียงแค่ 1 ครั้ง เท่านั้น ที่เหลือชนะถึง 13 ครั้ง และ เสมออีก 9 ครั้ง โดยยิงไปถึง 40 ประตู, เสียเพียงแค่ 14 ลูก พร้อมเก็บคลีนชีตได้ถึง 12 นัด ด้วยกัน

จากชัยชนะนัดนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล ขยับขึ้นมาแซง เชลซี มาอยู่อันดับ 9 อีกครั้ง แข่งไป 22 นัด มีอยู่ 32 คะแนน ยังตามหลังพื้นที่ท็อป 4 ถึง 9 แต้ม นับว่ายังห่างไกล ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน ยุค ฌอน ไดช์ กุนซือคนใหม่ ก็แพ้เรียบร้อย หลังเปิดตัวด้วยการเอาชนะ อาร์เซน่อล 1-0 เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้ ทอฟฟี่บลูส์ ยังจมอยู่ที่โซนตกชั้น รั้งอันดับ 18 แข่ง 22 นัด เก็บไปเพียง 18 แต้ม ต้องดิ้นรนหนีตายต่อไป

- ข่าวดีของ ลิเวอร์พูล

ชัยชนะแมตช์นี้ ได้เห็นสิ่งดีๆของ ลิเวอร์พูล หลายอย่าง หลังต้องจมทุกข์ ไม่ชนะใครในลีกเลยตั้งแต่ขึ้นปีใหม่ 2023 สิ่งแรกเลยคือ รอยยิ้มของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เพราะช่วงที่ทีมแพ้รัวๆ มันมีกระแสที่แฟนบอลบางกลุ่ม ขับไล่ให้เขาพ้นจากตำแหน่ง 

แต่เกมนี้แพชชั่นมาเต็ม การได้ปลดปล่อยอารมณ์ หลังจากทีมทำประตู คงผ่อนคลายสถานการณ์ไปได้เยอะ และ ที่สำคัญนี่คือชัยชนะนัดที่ 250 กับการคุมทีม ลิเวอร์พูล 414 นัด เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์กุนซือสโมสรแห่งนี้

ส่วนเกมรับ ที่เปื่อยยุ่ยยิ่งกว่าทิชชู่เปียกน้ำ ก็กลับมาเก็บคลีนชีตได้อีกครั้ง เพราะในวันที่ไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ผลงานยิ่งเละไปใหญ่ โดยก่อนหน้านี้ไปเยือนคู่แข่ง 3 นัด โดนอัดมาถึง 9 ลูก  ดังนั้นคงทำให้ โจเอล มาติป กับ โจ โกเมซ ผ่อนคลายลงได้บ้าง

ขณะที่บรรดาตัวเจ็บ ที่เดี้ยงไปก่อนหน้านี้ ก็สามารถกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในแมตช์เจอกับ เอฟเวอร์ตัน นั่นคือ ดิโอโก้ โชต้า กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ซึ่งทั้งคู่ถูกส่งลงมาเคาะสนิมในฐานะตัวสำรอง ช่วงประมาณ 10-20 นาทีสุดท้ายของเกม

บทพิสูจน์ต่อไปของ ลิเวอร์พูล นับจากนี้ ว่าจะกลับมาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมหรือเปล่า เมื่อพวกเขาต้องไปเยือน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ช่วงสุดสัปดาห์นี้ ถ้าชนะก็ยังพอมีลุ้นเล็กๆสำหรับท็อปโฟร์ รวมไปถึงต้องวัดฝีเท้ากับ เรอัล มาดริด เจ้าของแชมป์สโมสรโลก เพราะนี่คือถ้วยใบสุดท้าย ที่พวกเขายังได้ลุ้นในซีซั่นนี้

ฮาย ฮาวดี้
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline