logo-heading

แต่ที่จริงแล้ว เขาเจอคำด่ามากมายเต็มไปหมด และ ถูกตราหน้าว่า ไม่ควรสวมใส่ตราสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลยด้วยซ้ำ 

ทั้งเรื่องความทุ่มเทไม่มากพอ สนใจแต่โลกโซเชี่ยล ชื่อเสียงแก๊ง บีนส์ บีนส์ บีนส์ กระฉ่อนไปทั่ว ไปในทางด้านลบ เพราะติดโซเชี่ยล จนชีวิตไม่เป็นดั่งหวัง

แต่ทุกวันนี้ แรชฟอร์ด เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งความประพฤติ และ ผลงานบนผืนฟลอร์หญ้า ที่กำลังฮอตปรอทแตก

เชื่อว่าหลายๆคนได้เห็นฟอร์มของ แรชฟอร์ด ตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปี 

เขาฉายแววให้เห็นถึงฝีเท้า ที่ยังพัฒนาไปได้อีกไกล ทั้งเรื่องสปีดอันจัดจ้าน การจบสกอร์ที่เฉียบคม และ ทักษะอันยอดเยี่ยม ซึ่งน่าจะขึ้นมาเป็นตำนาน แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ไม่ยาก

ครั้งหนึ่งในฤดูกาล 2019-2020 เขาเคยสร้างสถิติซัลโวไปทั้งสิ้น 22 ประตู รวมทุกรายการ ด้วยซ้ำ

แต่เพราะมีอาการบาดเจ็บ มาคอยเล่นงาน และ ต้องเผชิญหน้ากับสภาวะความกดดันในการถูกวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่น 

เวลาทีมพ่ายแพ้ เขาจะเป็นคนแรกๆ ที่กลายเป็นแพะรับบาปอยู่เสมอ โดยเฉพาะการเล่นบอลฉายเดี่ยว ไม่ค่อยส่งให้เพื่อน 

ไหนจะมีนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลยูโร 2020 ที่ แรชฟอร์ด ถูกส่งลงสนามมาเพื่อยิงจุดโทษ แต่กลับซัดพลาด ทำให้ อังกฤษ กลายเป็นพระรอง 

นับตั้งแต่นััน แรชฟอร์ด ก็ถูกมองในแง่ลบมาตลอด เขาถูกด่าด้วยถ้อยคำอันรุนแรง หลายคนลามปามไปถึงการเหยียดผิว และ บุพการี เลยด้วยซ้ำ

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำเอา แรชฟอร์ด เป๋ไปพักใหญ่ ผลงานตกลงไปอย่างน่าใจหาย .. มีนักเตะหลายคนถูกซื้อมาร่วมทีม เพื่อทำหน้าที่ยิงประตูแทนเขา ส่วน แรชฟอร์ด ถูกแฟนบอลสาปส่งให้ขายออกไปจากทีม 

ยุคที่ ราล์ฟ รังนิค กุมบังเหียน .. แรชชี่ ยิงได้เพียง 5 ประตู ไม่ได้มีความสำคัญใดๆกับทีมอีกแล้ว

กระทั่งกุนซือเปลี่ยนมือมาเป็น เอริค เทน ฮาก ผู้ที่เข้ามาชุบ DNA ปีศาจแดง และ แรชฟอร์ด ให้กำเนิดฟิ้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง 

ช่วงต้นซีซั่นความโดดเด่นอาจยังไม่ชัดเจน เพราะเต็มไปด้วยดราม่าของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จนหลายคนอาจจะลืมโฟกัสเรื่องผลงาน

ขนาด ฟุตบอลโลก 2022 เขายังไม่ได้เป็นตัวจริงให้กับทีมชาติอังกฤษ เลยด้วยซ้ำ 

กระทั่ง เวิลด์ คัพ 2022 จบลง ทุกอย่างก็เริ่มชัดเจน .. แรชฟอร์ด ในวัย 25 ปี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม สวนทางกับวัยเบญจเพส

แรชฟอร์ด กดไป 13 ประตู ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม จนถึงวันนี้ ต่อให้เขาจะโดนลงโทษ เพราะมาสาย หรือ ลงเล่นเป็นตัวสำรอง ก็สามารถทำประตูให้กับ ปีศาจแดง ได้อยู่เสมอ 

นับว่าเป็นแนวรุกเบอร์ 1 ที่ ปีศาจแดง จะขาดไปไม่ได้อีกแล้ว 

ด้วยความยอดเยี่ยมของ แรชฟอร์ด ทำให้ซีซั่นนี้ เขากดไปแล้ว 22 ประตู รวมทุกรายการ เทียบเท่ากับสถิติที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำไว้เมื่อฤดูกาล 2019-20  แต่ทำลายแน่นอน เพราะซีซั่นนี้ยังอีกยาวไกล 

ที่สำคัญ 22 ประตูที่ แรชฟอร์ด ทำได้ มีเพียงแค่ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ คนเดียวเท่านั้น ที่ยิงได้มากกว่าใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป

และอีกหนึ่งสิ่งที่กลายเป็นที่จดจำของ แรชฟอร์ด ก็คือท่าดีใจของเขา คือการหลับตา และ เอานิ้วชี้ไปที่ขมับ เพื่อบ่งบอก เขาโฟกัส และ มีสมาธิกับเกมการแข่งขันเท่านั้น ไม่วอกแวกต่อสิ่งเร้าภายนอกอีกแล้ว 

ซึ่งมันกลายเป็นท่าดีใจยอดฮิตไปทั่วโลกจริงๆ 

จากคนที่เคยโดนสาปส่งให้ย้ายทีม แต่ตอนนี้กลายเป็นคนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะขาดไปไม่ได้อีกแล้ว

สภาพจิตใจของเขากลับมาสูบฉีดแบบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ความกดดันที่เคยกัดกินหัวใจ ทลายหายไปหมดแล้ว 

มีแต่ความมั่นใจ ที่เขาพร้อมเผชิญกับกองหลังทุกคนบนโลกใบนี้

ดังนั้นถ้า เทน ฮาก เป็นผู้บัญชา แรชฟอร์ด ก็เป็นผู้ขับเคลื่อนในสนาม พร้อมพาทีมกลับมาทวงความยิ่งใหญ่

ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ศึกชิงโทรฟี้ คาราบาว คัพ จะเป็นจุดเริ่มต้น เพื่อตัดสินในวัย 25 ปี ของ แรชฟอร์ด ว่าเขาจะสามารถพาสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่ ได้อีกครั้งหรือไม่ ต้องมารอดูกัน 

แค่เมินเฉยสิ่งเร้านอกสนาม และ โฟกัสกับผลงานให้มากขึ้น ทุกอย่างก็จะผลิดอกออกผล แบบที่เขาฉายแสงให้แฟนบอลได้ดูเป็นขวัญตาแบบทุกวันนี้

ฮาย ฮาวดี้-
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline