logo-heading

ซึ่งถ้านับในนามของ The Best FIFA Men's Player นี่ถือว่าเป็นครั้งที่ 2 ของ เมสซี่ ในการสอยรางวัลดังกล่าวมาครอง หลังเคยทำมาได้แล้วเมื่อปี 2019 

ย้อนกลับผลงานในช่วงปี 2022 ของชายวัย 35 ปี ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมเอามากๆ ไม่ว่าจะในสีเสื้อสโมสร ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หรือกับทัพ "ฟ้า-ขาว" ที่ผงาดเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกขบวนล่าสุดได้อย่างยิ่งใหญ่ สมกับการรอคอยมาตลอดในเส้นทางลูกหนัง และเขาคือฟันเฟืองสำคัญสำหรับความสำเร็จในครั้งนี้

โทรฟี่แชมป์ฟุตบอลโลกเปรียบเสมือนจุดหมาย และเป้าหมายใหญ่สุดของนักฟุตบอล ซึ่งกับนักเตะที่ผ่านมาหมดแล้วทุกรสชาติ ผ่านการคว้าแชมป์มาหมดแล้วในทุกรายการที่ลงสนาม เหลือเพียงแค่ถ้วยทองคำใบนั้นที่ยังไม่สามารถเอื้อมมือไปคว้ามาครอง จนกระทั่งทุกความพยายามครั้งสุดท้ายในการฟันฝ่าเพื่อจบสิ้นทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบที่สุด

อีกครั้งกับความสำเร็จของ \"ลิโอเนล เมสซี่\"

ครั้งหนึ่ง เมสซี่ เคยเฉียดเข้าใกล้โทรฟี่ฟุตบอลโลกมาแล้วเมื่อปี 2014 เพราะ อาร์เจนติน่า กรุยทางไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ชนิดที่ว่าก่อนหน้าเกมสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ทีมมีผลงานที่ยอดเยี่ยม ไม่สะดุดพ่ายให้กับใคร จนกระทั่งถึงวันตัดสินแชมป์ที่พลาดท่าไปแบบน่าเสียดาย

ในวันนั้นเจ้าตัวเพิ่งมีอายุเพียง 27 ปี เท่านั้น และเป็นหนึ่งในช่วงวัยที่ผลงานของเขากำลังพีคแบบขั้นสุด ซีซั่นก่อนลุยฟุตบอลโลกจัดการสอบประตูในสีเสื้อ บาร์เซโลน่า ไปมากถึง 45 ตุง จากการลงสนาม 54 นัด พร้อมปิดฉากด้วยการคว้าแชมป์ทั้ง ลาลีกา สเปน และ โกปา เดล เรย์ เรียกได้ว่าความมั่นใจกำลังเอ่อล้นแบบสุดๆ

ทว่าท้ายที่สุดบทสรุปของทุกอย่างกลายเป็นภาพที่โด่งดังไปทั่วโลกเมื่อ เมสซี่ ทำได้เพียงเดินผ่านโทรฟี่ทองอร่ามด้วยความพ่ายแพ้ จากวันนั้นเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่ฝังใจมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมตั้งกำแพงไว้ว่าสักวันถ้ายังคงสวมสตั๊ดไล่หวดลูกหนังอยู่จะคว้าแชมป์ใบนั้นมาครองให้ได้

วันเวลาผ่านไปฟุตบอลโลก 2018 ต้องจอดป้ายเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายความหวังลดลงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามหน้าปฎิทินที่แปรเปลี่ยนไป

จนกระทั่งถึงขวบปี 2022 ที่เจ้าตัวประกาศไว้ก่อนทัวร์นาเมนท์จะเริ่มว่าจะเป็นการลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้าย เหมือนลั่นวาจาว่าถ้าครั้งนี้ยังไม่ได้มาครอง คงต้องยอมศิโรราบต่อโชคชะตา และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ว่าแล้ว... เหล่าเพื่อนๆ ในทีมเหมือนได้รับพลังวิเศษ บวกกับความมุ่งมั่นแบบทะลุปรอทของ เมสซี่ ทำให้ทุกอย่างมันออกมาสมบูรณ์แบบ ภาพสุดท้ายในการเห็นเขาชูโทรฟี่แชมป์ฟุตบอลโลกจะกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์โลกลูกหนังไปตลอดกาล

และแน่นอนหลังค่ำคืนวันนั้นเหมือนเป็นตัวตัดสินแล้วว่าความสำเร็จส่วนบุคคลจะคลั่งไหลมาสู่ ลิโอเนล เมสซี่ แบบไม่ขาดสาย เพราะแชมป์ฟุตบอลโลกในชนิดที่เขาคือทุกอย่างในทีม มันคือคำตอบที่รองรับทุกเหตุผลได้มากพอ ในข้อแม้ที่ว่าต้องตัดอคติทั้งหมดออกไปให้ได้

การคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมขบวนล่าสุดตอกย้ำอีกครั้งว่ามันคือโทรฟี่ความสำเร็จที่คู่ควรกับชายวัย 35 ปี เป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องผลงานในสนาม, ความสำเร็จ และความเหมาะสม ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้

อีกครั้งกับความสำเร็จของ \"ลิโอเนล เมสซี่\"

ส่วนในงานประกาศรางวัล เมสซี่ ยอมรับเลยว่าถ้ามีตัวเขาเพียงคนเดียวความสำเร็จไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ทุกคนในทีมมีส่วนสำคัญเท่ากันหมด และเขาคือคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการคว้าแชมป์โลกมาครอง

"มันวิเศษมาก เป็นปีที่ยิ่งใหญ่และเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัลนี้ ถ้าไม่มีเพื่อนร่วมทีม ผมคงไม่มาอยู่ที่นี่ ผมทำความฝันที่หวังไว้มานานได้สำเร็จ มีคนไม่กี่คนที่ทำได้ และผมโชคดีที่ได้ทำเช่นนั้น"

"มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เกิดขึ้นกับผมในอาชีพ"

โฟกัสจากนี้คงอยู่ที่กับสโมสรแบบเพียวๆ ในการไล่ล่าความสำเร็จต่างๆ มาประดับตัวเอง ซึ่งแน่นอนเรื่องของความกระหายยังคงเอ่อล้นแบบเต็มเปี่ยมในตัวของเขา 

ส่วนในนามทีมชาติเราไม่รู้ว่าอนาคตของ เมสซี่ ในสีเสื้อ "ฟ้า-ขาว" จะเป็นอย่างไร จะหันหลังให้ทีมเมื่อใด 

แต่สิ่งที่เขาทำไว้มันคู่ควรต่อการพูดถึงไปอีกแสนนาน ในฐานะนักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาลของประเทศ

และสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดเท่าที่โลกใบนี้เคยทำความรู้จักมา

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline