logo-heading

และคุณหรือไม่ว่า ผู้จัดการทีมทั้ง 10 คนนั้น ผ่านการเป็นแชมป์ในอาชีพโค้ชมาถึง 61 รายการ แต่กลับมีแชมป์กับ สเปอร์ส เพียงรายการเดียวเท่านั้น คือ ลีก คัพ ในปี 2008 ซึ่งนั่นแปลว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แม้ สเปอร์ส จะเป็นหนึ่งในทีมที่มีชื่อเสียงของพรีเมียร์ลีก แต่กลับไม่มีแชมป์รายการใหญ่ใดๆ ให้ประดับตู้เลย

และแน่นอนอย่างที่ทุกคนกัน ว่าขนาดได้เหล่าโค้ชที่มีดีกรีระดับท็อปอย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่,  โชเซ่ มูรินโญ่ หรือ อันโตนิโอ คอนเต้ พวกเขาเหล่านี้ก็ล้วนแต่ประสบความล้มเหลวเมื่อมาอยู่กับ สเปอร์ส 

โดยเฉพาะ 2 คนหลังที่มีแชมป์ติดมือมากับทุกสโมสรที่คุมเกิน 50 นัด แต่กลับมาพลาดกับแค่ สเปอร์ส ทีมเดียวเท่านั้น จึงไม่แปลกที่ สเปอร์ส จะถูกเรียกกันว่าเป็น ‘ทีมแห่งสุสานโค้ช’ และตามมาด้วยคำถาม ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับคำว่าอาถรรพ์ หรือโชคชะตาใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันเกี่ยวกับทุกอย่างก้าวของสโมสรตลอด 20 ปีหลังสุด และแน่นอน ขอบสนาม ของเราวันนี้ จะขอมาอธิบายจุดที่ตรงที่สุด ว่าทำไม สเปอร์ส ถึงกลายเป็นทีมที่ไร้ความสำเร็จ ต่อให้จะเคยมีโค้ชที่เก่งกาจขนาดไหนมารับหน้าที่ก็ตาม …

ให้ท้ายนักเตะมากกว่าโค้ชเสมอ

แมตต์ ลอว์ กูรูข่าวสายลอนดอนคนดัง แสดงหนึ่งในความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ ไว้อย่างน่าสนใจว่า ‘การให้ท้ายนักเตะมากกว่าโค้ช นำ สเปอร์ส ไปสู่ความล้มเหลว’

โดยในสารคดี “All or Nothing” ที่ติดตามทีม สเปอร์ส พบหนึ่งในสิ่งที่บอกชัดถึงเรื่องนี้ มันเป็นช่วงที่ แดนนี่ โรส มีปัญหาระหว่างการพูดคุยกับ โชเซ่ มูรินโญ่ โค้ชในตอนนั้น โดย โรส ได้พูดประโยคทิ้งท้ายสำคัญกับ มูรินโญ่ ไว้ว่า “ผมจะไปพบกับ แดเนี่ยล เลวี่”

เมื่อนักเตะมีปัญหาไม่เข้าใจกับโค้ช แต่แทนที่จะพยายามปรับความเข้าใจ หรือเชื่อฟังโค้ช แต่กลับกเลือกจะดื้อด้านและไปฟ้องประธานสโมสร แค่นี้ก็สามารถบ่งบอกถึงอะไรได้หลายอย่าง แต่อะไรก็ไม่ชัดเท่ากับการกระทำของสโมสรเอง

อย่างล่าสุด ต้องยอมรับว่า คอนเต้ ก็มีปัญหาไม่ลงรอยกับนักเตะ ผู้เล่นหลายคนไม่พอใจระบบการฝึกซ้อมของ คอนเต้ ไม่ว่าจะการให้วิ่ง 2 กิโลเมตรก่อนวันแข่งขัน, การซ้อมแต่แผนเดิมๆ โดยเหล่านักเตะ สเปอร์ส อยากที่จะเล่นในแผนที่เน้นรุกมากกว่านี้

คือขนาด คอนเต้ เป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จ ได้แชมป์มาโดยตลอด แต่ดูจะไม่มีใครเชื่อฟังเขาเท่าที่ควร รวมถึงบอร์ดบริหาร สเปอร์ส ที่เลือกจะปลด หรือเปลี่ยนแปลงแค่โค้ช ซึ่งประวัติศาสตร์ของ สเปอร์ส ก็เป็นแบบนี้มาตลอด

ยุค โปเช็ตติโน่ ผู้ที่ดูคุมห้องแต่งตัวของทีมได้ดีที่สุดคนหนึ่ง แต่เมื่อจากหลังเขาพลาดในรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก และมีผลงานที่เริ่มดร็อปลง พวกเขาเลือกทำแบบที่ทำมาเสมอ หาโค้ชคนใหม่ และให้ผู้เล่นชุดเดิมกำหนดวัฒนธรรมของสโมสร

แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในวงการฟุตบอล แต่สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ล้วนแล้วเป็นทีมที่ให้การหนุนหลังโค้ชของพวกเขามากกว่าผู้เล่นที่ทำผลงานได้ไม่ดี

อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้รับอนุญาตจาก แมน.ซิตี้ ให้โละนักเตะตัวดังของทีมตอนนั้นอย่าง โจ ฮาร์ท และ ยาย่า ตูเร่ หรือตอน เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามา ลิเวอร์พูล ก็มีการยกเครื่องครั้งใหญ่ หรือ มิเกล อาร์เตต้า ที่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนวัฒนธรรมสโมสร อาร์เซน่อล แม้ปีที่แล้วทีมจะพลาดตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ตาม

แน่นอน เชลซี อาจจะเป็นตัวอย่างของสโมสรที่สามารถคว้าแชมป์ได้ ขณะที่มีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมอยู่เสมอ แต่ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือพวกเขาสามารถใช้เงินเสริมทัพได้เหนือกว่าคู่แข่งหลายๆ ทีมได้ ซึ่งแน่นอน สเปอร์ส ไม่ได้เป็นแบบนั้น ซึ่งสาเหตุคงไม่พ้น …

 

วัฒนธรรมสโมสรที่ไม่เคยถูกยกระดับ

แน่นอนเมื่อฟังมา จะรู้สึกเลยว่าการบริหารของ สเปอร์ส มันมีความผิดพลาด และถามว่ามันผิดพลาดที่ตรงไหน คงหนีไม่พ้นเรื่อง การจัดลำดับความสำคัญ

ตลอดนับทศวรรษ สิ่งที่สโมสรสโมสรแห่งนี้ให้ความสำคัญที่สุด คือการได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้น ต่างจากหลายสโมสรระดับท็อป ที่การยกระดับความสำคัญหรือเป้าหมายของทีมอยู่เสมอ

ลิเวอร์พูล ในยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ แรกๆ หวังเพียงแค่ท็อปโฟร์ แต่จากนั้นก็ขยับไปหวังแชมป์และทำได้สำเร็จ ไม่เว้นแม้แต่ แมน.ซิตี้ ยุคก่อร่างสร้างตัว หรือ อาร์เซน่อล ของ อาร์เตต้า ในปัจจุบันนี้ เมื่อมีโอกาสพวกเขาก็พร้อมที่จะยกระดับความสำคัญ ไม่เป็นทีมที่พอใจกับการย่ำอยู่กับที่

และการจัดลำดับความสำคัญแบบนี้ของ สเปอร์ส ก็แสดงออกมาด้วยการเสริมทัพ ที่จะเห็นได้ว่าพวกเขาเคยทุ่มนะ แต่ก็ทุ่มไม่สุดสักที ยอมที่จะพลาดเป้าหมายอันดับ 1 ไปไม่รู้ต่อกี่ครั้ง

และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือการที่สโมสรกำลังมีโอกาสจะชูถ้วยแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี แต่พวกเขากลับเลือกที่จะปลด มูรินโญ่ ผู้เชี่ยวชาญด้านบอลถ้วย ออกจากตำแหน่งโค้ช ก่อนนัดชิงชนะเลิก ลีก คัพ ปี 2021 

เพราะ เลวี่ คิดว่า ไรอัน เมสัน มีโอกาสพาทีมจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งท็อปโฟร์มากกว่า เห็นได้ชัดว่าพวกเขามองเรื่อง ‘ท็อปโฟร์’ มากกว่าไปให้ถึง ‘ถ้วยแชมป์’ มาโดยเสมอ และทุกอย่างจึงทำให้ …

 

สเปอร์ส ไม่เคยเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุด

ซึ่งการจะเป็นแชมป์ คือการที่เราต้องเป็นเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดหรือแข็งแกร่งที่สุดในรายการนั้นๆ แต่ สเปอร์ส กลับไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย หากจะได้ถึงลุ้นแชมป์รายการไหน พวกเขาดูจะต้องเป็น ‘ม้ามืด’ ตลอด

และการที่ทีมม้ามืดจะพลาดไม่ได้แชมป์ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดพลาดอะไร บางคนอาจจะบอกว่า สเปอร์ส น่ะขาดจิตใจหรือความคิดที่จะเป็นผู้ชนะ แต่ก็ดูไม่ใช่แบบนั้น เมื่อดูทีมในยุคของ โปเช็ตติโน่ สเปอร์สก็เคยไปถึงนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว เคยได้ลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาแล้ว

บางคนอาจจะบอกว่า ถ้าในรอบชิง UCL  ถ้า ซาดิโอ มาเน่ ไม่เตะไปอัดแขนของ มุสซ่า ซิสโซโก้ แล้ว นะ หรือถ้า สเปอร์ส ไม่ไปพลาดในนัดสำคัญ และยังกดดัน เลสเตอร์ ซิตี้ ไปจนจบได้นะ

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้พวกเขาพลาดแชมป์เลย เพราะจุดที่ตรงกันของเรื่องนี้คือ สเปอร์ส ดูไม่เคยเป็นทีมที่ดีที่สุดของฤดูกาลนั้นๆ เลย สิ่งที่ควรตั้งคำถามคือหากในปีนั้นๆ พวกเขามีทีมที่ดีกว่านี้ อาจจะสามารถประสบความสำเร็จในถ้วยเหล่านี้ได้หรือไม่ ?

เพราะเห็นได้ชัดว่าความเป็นของทีม สเปอร์ส ดูไม่เคยเปลี่ยนเลย แม้ส่วนใหญ่พวกเขาจะดูเป็นทีมที่ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ดีที่สุดแบบใครเขาสักที 


ท้ายที่สุดนี้ เราอยากจะหยิบยกหนึ่งในประโยคที่ใช้ได้เสมอเกี่ยวกับการให้ผลลัพธ์ ว่าถ้าตลอดที่ผ่านมาคุยไม่เคยประสบความสำเร็จ แต่คุณกลับไม่คิดเปลี่ยนแปลงวิธี ผลลัพธ์ที่คุณจะได้ก็ย่อมไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน

เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ ที่ต่อให้ผู้จัดการทีมระดับท็อปแค่ไหนมาคุมแต่ สเปอร์ส ก็ยังไม่ได้แชมป์ใหญ่ๆ สักที ในเมื่อพวกเขายังคงเป็นเหมือนเดิมกับ 20 ปีที่ผ่านมา พูดแล้วก็ได้แต่สงสารเหล่าแฟนบอลครับ.

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline