logo-heading

ทันทีที่การจับสลากแบ่งกลุ่มเอเชียน คัพ 2019 สิ้นสุดลง เหล่าบรรดาชาติชั้นนำในทวีปเอเชียทั้ง 24 ทีมสุดท้าย ที่ฝ่าด่านอรหันต์รอบคัดเลือกต่างรู้ตัวเองดีว่า ใครคือคู่แข่งรายต่อไปที่ต้องเผชิญหน้าเจอกันช่วงต้นปีหน้าที่ดูไบ

เอเชียน คัพ ในครานี้ คือครั้งแรกที่มีการเพิ่มจำนวนเดิม ในรอบสุดท้ายจากเดิม 16 เป็น 24 ชาติ เพื่อเพิ่มอรรถรสลูกหนัง และเปิดโอกาสให้ชาติเล็ก ได้โลดแล่นบนเวทีหมายเลข1 ของทวีป สำหรับทีมชาติไทย มีชื่อร่วมสมรภูมิเอเชียน คัพ เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี หลังว่างเว้นจากทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวไปนานกว่าทศวรรษ มาในครั้งนี้ขุนพลลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกใส่ชื่อไว้อยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เจ้าภาพ), อินเดีย, บาห์เรน หากว่ากันตามหน้าเสื่อไม่ยากและไม่ง่ายเกินไป หากคิดจะเดินหน้าไปรอบน็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้าย ถ้าไม่ประมาทเกินไป จะว่าไปแล้ว ทัวร์นาเมนต์อันยิ่งใหญ่ของเอเชีย หนนี้จัดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเศรษฐีน้ำมันจากดินแดนตะวันออกกลาง รับหน้าที่เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 1996 (พ.ศ.2539) พวกเขาเคยเป็นเจ้าภาพมาแล้ว ทว่าเอเชียน คัพ รอบสุดท้าย ทีมชาติไทย มีประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำเลยแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากร่วงตกรอบแบ่งกลุ่ม แถมปราชัยให้แก่ 3 คู่ต่อกรจากตะวันออกกลางแบบย่อยยับ ทีมงานขอบสนามขอหยิบยกเรื่องราวของขุนพลธงไตรรงค์ ในทัวร์นาเมนต์เอเชียน คัพ ครั้งนั้น มาให้แฟนบอลรุ่นใหม่ ได้รับทราบข้อมูล พร้อมแล้วจะช้ากันทำไม เชิญเลื่อนเมาท์ อ่านเรื่องราวย้อนหลัง 22 ปีที่แล้วได้เลยครับ 1.ซาอุดิอาระเบีย ถลุงไทย ครึ่งโหล รับวันพ่อแห่งชาติ ย้อนรอยทีมชาติไทย เอเชียน คัพ 1996 ที่ดูไบ เกมแรกของแซมบ้าอาเซียน คือการลงสนามวันพ่อแห่งชาติ พบ”เศรษฐน้ำมัน” อ.อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ ขงเบ๊งเมืองทอง กุนซือในเวลานั้นจัดทัพชุดใหญ่ เพื่อต่อกรกับยักษ์ใหญ่ตะวันออกกลาง นที ทองสุขแก้ว คุมแผงหลัง, สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ บัญชาเกมกลางสนาม ปล่อยให้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และ เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ ล่าตาข่าย ทว่าแค่ 9 นาที โฉมหน้าเกมนี้เข้าทางซาอุดิอาระเบียชัดเจน วัชรพงษ์ สมจิตร นายทวารผู้ร่วงลับ ที่เฝ้าเสาในเวลานั้น ไปรวบ ฟาฮาด อัล-เมฮัลเลล ในเขตโทษ ผู้ตัดสินจากอียิปต์ไม่มีทางเลือกนอกจากให้ใบแดงไล่ออกจากสนาม และทีมต้องถอด สุรชัย ออกมาเพื่อให้ นิพนธ์ มาลานนท์ ลงไปเฝ้าเสา และนี่คือเกมที่ไม่น่าจดจำสำหรับ “มหาโต” ซาอุดิอาระเบีย ฉกฉวยความได้เปรียบตัวผู้เล่น นวดทีมชาติไทย และกระหน่ำยิงไปเกรงใจ 6-0 เรียกว่าโดนครึ่งโหลตั้งแต่เกมแรก จนบรรยากาศภายในทีมชาติไทยหลังจบเกมผู้เล่นเสียความมั่นใจไปพอสมควร 2.อาลี ดาอี นำแข้งเปอร์เซียซัลโวไทย จอดป้ายรอบแบ่งกลุ่ม ย้อนรอยทีมชาติไทย เอเชียน คัพ 1996 ที่ดูไบ หลังปราชัยแบบยับเยิน ธวัชชัย สัจจกุล ผู้จัดการทีมและ อ.อาจหาญ เฮดโค้ช ปรับผู้เล่น1 ตำแหน่ง ใส่สัจจา ศิริเขตร์ เล่นสต็อปเปอร์ แทน พัฒนพงษ์ ศรีปราโมทย์ ที่ดูจะเสียความมั่นใจจากเกมแรก แต่ยังยึดผู้เล่นชุดเดิม และเล่นในระบบ 3-5-2 การประจันหน้ากับทีมลูกหนังจากแดนเปอร์เซีย ทีมชาติไทยมียุทธวิธีสู้กับอิหร่านได้ดี แต่ประสบการณ์และความผิดพลาดของผู้เล่นแดนสยาม จบ 45 นาทีแรกตามหลัง 1 ประตู ครึ่งหลังไทย พยายามเร่งเคลื่อนเพื่อทำประตู แต่มาโดนเพิ่มอีก 2 ประตู ซึ่ง1 ลูกในครึ่งหลังมาจากปลายสตั๊ด อาลี ดาอี สตาร์หมายเลข1ของอิหร่าน ไทยสู้ยิบตาเพื่อหาประตูแรกในทัวร์นาเมนต์ และมาได้จากการยิงของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง แต่ไม่เพียงพอทำให้ทัพลูกหนังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา  รอดพ้นความพ่ายแพ้1-3 จอดป้ายที่รอบแรกเอเชียน คัพ หลังปราชัย 2 แมตซ์ติดต่อกัน 3.ขุนพลเมโสโปเตเมีย ยิงไทยยับเยิน ส่งท้ายก่อนกลับบางกอก ย้อนรอยทีมชาติไทย เอเชียน คัพ 1996 ที่ดูไบ 3 วันหลังปราชัยต่ออิหร่าน เกมส่งท้ายรอบแบ่งกลุ่ม แข้งไตรรงค์ มารับมือกับอิรัก เกมนี้อาจจะไร้ความหมายสำหรับทีมลูกหนังเบอร์ 1 อาเซียน แต่ฟากขุนพลเมโสโปเตเมีย ยังคงมีความหวังในการลุ้นเข้ารอบ 8 ทีมในฐานะอันดับ3 ที่ดีสุด โดยเงื่อนไขต้องยิงไทยให้ได้เกิน 3 ประตูขึ้นไปเท่านั้น ทีมชาติไทย ส่งวรวุธ ศรีมะฆะ, สิงห์ โตทวี, ยุทธนา พลศักดิ์, จักรราช โทนหงษา 4 ขุนกำลังสำรองได้ยืดเส้นยืดสายเกมส่งท้ายก่อนกลับบางกอก อิรัก เล่นด้วยความมุ่งมั่นที่มากกว่าและเปิดเกมใส่ทีมชาติไทย จนกำชัยชนะไปอย่างท่วมท้น 4-1 จากการยิงของ ไฮดาร์ มาห์มูด และไลท์ ฮูสเซน ที่เหมาคนละ 2 ประตู ส่วนทีมชาติไทยแก้คืนได้ 1 ลูก จาก “โอ่ง สกล” ดุสิต เฉลิมแสน ที่ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว ปรับบทบาทจากกองกลางคุมเกม มาสู่บทบาทใหม่แบ็คซ้าย จนกลายเป็นตำแหน่งที่คอลูกหนังไทยจดจำได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เอ็มเร่

ขอบคุณภาพประกอบ : นิตยสารฟุตบอลสยาม, แฟนเพจสารานุกรมบอลไทย
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline