logo-heading

เพราะต่อให้ ซูเปอร์แฟร้งค์ จะเป็นโคตรตำนานของสโมสร แต่ผลงานการคุมทีม ยังไม่เป็นที่ต้องตาโดนใจ โดยเฉพาะสถานการณ์ของทีม ที่ดูสะเปะสะปะมากเหลือเกิน

ดังนั้น  แลมพาร์ด ต้องทำให้เห็นว่าทำไมบอร์ดบริหารถึงเลือกเขาเข้ามาทำงานในช่วง 2 เดือนสุดท้ายก่อนปิดซีซั่น และ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ แลมพาร์ด ต้องพิสูจน์ เพื่อเรียกศรัทธาแฟนบอล สิงห์บลูส์ กลับมาอีกครั้ง

1. ต้องพิสูจน์ผลงานให้เห็นว่าดีกว่า พ็อตเตอร์

แฟร้งค์ แลมพาร์ด คือตำนานตลอดกาลของสโมสร เชลซี สมัยเป็นนักเตะเขาถูกเชิดชูดั่งพระเจ้า เป็นคีย์แมนคนสำคัญที่ช่วยพาทัพ สิงห์บลูส์ คว้าแชมป์มาครองอย่างยิ่งใหญ่ หลายต่อหลายรายการ

แต่กระนั้น ก็เชื่อว่าแฟนบอล สิงโตน้ำเงินคราม ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยแฮปปี้มากนัก กับการที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กลับมารับงานกุนซือ เชลซี อีกครั้ง เนื่องจากแฟนบอลต้องการเฮดโค้ชโปรไฟล์ตัวท็อปมากกว่า

บวกกับผลงานที่ แลมพาร์ด เคยคุม เชลซี มานั้น ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย โดยคุมทีม 84 นัด ชนะไป 44 นัด เสมอ 17 นัด และ แพ้ 23 นัด โดยมีเปอร์เซนต์ชนะอยู่ที่ 52.4 เปอร์เซนต์ ก่อนที่เขาจะโดนปลดกลางซีซั่น และ แต่งตั้ง โธมัส ทูเคิ่ล เข้ามาแทน

แลมพาร์ด เสียรังวัดเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อเขาไปคุมทีม เอฟเวอร์ตัน แต่กลับพาทีมร่วงไปอยู่โซนตกชั้น จนถูกปลดออกจากตำแหน่งเหมือนเดิม ดังนั้นการกลับมา เชลซี ครั้งนี้ ซูเปอร์แฟร้งค์ ต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักว่า การเข้ามารับงานท้ายซีซั่น จะต้องดีกว่า พ็อตเตอร์ ให้ได้ เพราะเชื่อว่าผลงานเก่าๆมันยังติดค้างในใจแฟนบอล

แลมพาร์ด ต้องพาทีมขยับขึ้นมา จากอันดับ 11, ต้องทำทรงบอลให้ดูสนุก ตื่นเต้น ตามสไตล์ DNA ของสโมสร, ต้องโชว์กึ๋นการแก้เกม เมื่อตกเป็นฝ่ายตามหลัง หรอ ยังยิงไม่ได้ และ ที่สำคัญการพาทีมเก็บชัยชนะสำคัญมากที่สุด ถ้าหากยังมีสไตล์แบบขัดใจ ไม่เดินหน้าบุก เน้นแพ็คเกมรับ มีผลการแข่งขันที่ไม่ถูกอกถูกใจ เขาก็คงไม่ต่างอะไรจาก พ็อตเตอร์ ที่เคยโดนวิจารณ์มาก่อนหน้านี้

2. ใช้ผู้เล่นให้เป็น

เกรแฮม พ็อตเตอร์ โดนด่าอย่างมาก ว่าเป็นได้ทุกอย่างของ เชลซี ยกเว้นเป็นโค้ชที่้เก่ง เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ผิดในสายตาของแฟนบอลไปเสียทุกอย่าง ทั้งแท็คติค ที่ดูใจมด ไม่กล้าบุกแหลก เจอกับใครก็ชอบใช้แผนกองหลัง 3 คน

และ อีกหนึ่งเรื่องที่โดนด่าไม่เว้นวัน คือการเลือกใช้ผู้เล่น ที่ช่างขัดใจสาวก สิงห์บลูส์ มากเหลือเกิน ทั้งๆที่เขามีนักเตะชั้นนำให้เลือกใช้มากมาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม พ็อตเตอร์ จึงโดนด่าประมาณว่า ต่อให้มีวัตถุดิบดีแค่ไหน คนปรุงมีปัญญาทำได้แค่ต้มมาม่า เท่านั้น

ถ้า แลมพาร์ด ต้องการกอบกู้ศรัทธา และ ความเชื่อมั่นจากนักเตะในทีม การเลือกใช้ผู้เล่น จะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ เชลซี กลับมาผงาดอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ที่เขาเคยคุมทีม เชลซี มาก่อน และ มี DNA สิงโตน้ำเงินคราม อยู่เต็มร่างกาย เขาย่อมรู้ดีแน่ว่า จะใช้นักเตะอย่างไร ให้ออกมามีคุณภาพมากที่สุด ต้องไม่มีระบบอุปถัมป์ ที่เรียกกันว่า "ลูกรัก"

คราวนี้ต้องมารอดูว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะให้โอกาสกับ มิไคโล มูดริค ปีกทีมชาติยูเครน เจ้าของค่าตัว 89 ล้านปอนด์ มากกว่าสมัย พ็อตเตอร์ หรือไม่ และ เมสัน เมาท์ จะกลับมาเล่นฟุตบอลอย่างมีความสุขอีกหรือเปล่า หลังจากได้ลุกพี่ ที่เป็นคนให้โอกาส กลับมาคุมทีมอีกครั้ง นี่คือคำถาม ที่ต้องรอให้ แลมพาร์ด มาตอบ ซึ่งในฐานะตำนานสโมสร เขาคงรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร เพื่อให้สโมสรเจอแต่สิ่งที่ดีที่สุด

3. สู้ให้เต็มที่กับ เรอัล มาดริด

ความดีความชอบเพียงหนึ่งเดียว ที่หลงเหลือไว้ให้กับ เชลซี คือการพาสโมสร ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปพบกับ เรอัล มาดริด หลังจากปราบเอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาได้ ทั้งไปและกลับ

ว่ากันตามตรง ต่อให้เป็นกุนซือคนไหนมาคุม เชลซี ชั่วโมง การเจอกับ มาดริด ก็เป็นรองหลายขุมอยู่ดี เพราะนี่คือเจ้าพ่อ ยูซีแอล ขนาดแท้ ไม่เชื่อให้ลองไปถาม ลิเวอร์พูล ได้เลย ว่าโดนเล่นงานมากี่นัดแล้ว

ถึงกระนั้น มันจะเป็นงานยากสำหรับ แลมพาร์ด ในการพา เชลซี ประจัญหน้ากับ ราชันชุดขาว แต่ในฐานะตำนาน และ กุนซือของสโมสร เขาต้องปลุกพลังใจ เรียกความฮึกเฮิมในห้องแต่งตัว รวมใจกันเป็นหนึ่ง เพื่อศึกสำคัญหนึ่งเดียวที่พวกเขายังมีลุ้น

นี่คือ 2 นัดสำคัญ ที่ แลมพาร์ด ต้องพิสูจน์ให้แฟนบอลได้เห็นว่า ทำไม บอร์ดบริหารถึงตัดสินใจแต่งตั้งคุมทีมจนจบซีซั่น ถ้าสู้แบบได้ใจ และ ได้ผลการแข่งขันตามที่ต้องการ เขาจะสามารถลบภาพในอดีตที่ไม่ดีนักไปได้

และ มารอดูกันว่าผลงานของ แลมพาร์ด กับ เชลซี คำรบที่สองจะเป็นอย่างไร นัดเยือน วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส เสาร์นี้ คือคำตอบ ว่าเขาจะประเดิมคุมทีมด้วยการเก็บ 3 คะแนน หรือไม่

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline