logo-heading

เนื่องจากเข้าเดือนเมษายน แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-4 และ ล่าสุดคือเสมอกับ เชลซี 0-0 ชนิดที่เกือบแพ้กลับออกไป 

ลิเวอร์พูล มีปัญหามากมายให้ถูกพูดถึง และ จาก 2 นัดที่ผ่านมา ผมเองได้เห็นอะไรหลายอย่าง ซึ่งมันผิดไปจากอดีตเหลือเกิน ดังนั้น ขอบสนาม อินไซด์ วันนี้ จะพาไปดูว่า 2 เกมที่ผ่านมา ผลงาน หงส์แดง มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งใด

1. การเปลี่ยนตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์

ยอมรับตามตรงว่า การเปลี่ยนตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สร้างความมึนงงให้กับแฟนบอล ลิเวอร์พูล มากเหลือเกิน แน่นอนว่าโค้ชทุกคนย่อมมีความคิด และ แนวทางของตัวเอง แต่กระนั้นหลายๆครั้งก็สวนทางกับความรู้สึกของ กองเชียร์ โดยเฉพาะเกมล่าสุดที่ หงส์แดง ทำได้เพียงเสมอกับ เชลซี 0-0

เนื่องจากการเปลี่ยนตัวแปลกๆถูกตั้งคำถามอีกครั้ง ว่าเปลี่ยนตัวอะไร ทำไมถึงเปลี่ยนตัวช้า !! อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งเป็นตัวอันตรายมากที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในเกมนั้น ก็ดันถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ทั้งๆที่เขาคอยสร้างสรรค์โอกาส และ หาจังหวะทำประตูเพื่อทีมได้ดีที่สุด ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ กองกลางที่ได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริง แต่ไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย กลับถูกเก็บเอาไว้ในสนามจนถึงนาทีที่ 80

ส่วนอีกคนที่สาวก เดอะ ค็อป สงสัยมากที่สุด ก็คือ อาร์ตูร์ เมโล่ .. เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้นั่งสำรองจนตูดด้านอยู่ข้างสนาม เป็นตัวที่ถูกดึงเข้ามาเมื่อช่วงซัมเมอร์ แต่กลายเป็นตัวเลือก รองจาก อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิต้า และ เคอร์ติส โจนส์ ด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่ อาร์ตูร์ เมโล่ ไม่ถูกใช้งาน เหมือนทำให้เห็นว่า หงส์แดง ดึงตัวมา เป็นไม้กันหมา ไม่ให้แฟนบอลด่าเท่านั้น

2. มิติของกองกลาง

ตลอด 2 เกมที่ผ่านมา เห็นเลยว่า คลาสของมิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล มาตรฐานตกลงไปเยอะมาก ยิ่งไปเทียบกับกองกลาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ เชลซี ยิ่งเห็นชัดเจน อาทิ เรือใบสีฟ้า พวก เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกัน หรือ แจ็ค กรีลิช สามารถสร้างสรรค์ผลงาน จ่ายบอลสวยๆ แทงทะลุช่อง หรือ ลากจี้กินตัว เพื่อทำประตูได้อยู่ตลอด

แต่กับ ลิเวอร์พูล เป็นสไตล์เดียวกันหมด ที่มักเป็นอาแปะ ส่งบอลใกล้ๆ หรือไม่ก็จ่ายให้เพื่อนแบบไม่ได้เปรียบ ซึ่งเป็นเหตุผลที่พูดกันมานานนมแล้ว ว่าพวกเขาควรมีกองกลางสไตล์เพลย์เมกเกอร์เข้ามา แต่ก็ไม่ได้เห็นสิ่งนั้น อย่างเกมเจอกับ เชลซี .. เคอร์ติส โจนส์ เล่นหลายจังหวะเยอะเกิน เก็บบอลไว้กับตัวเองนานเกินไป และ พยายามจะเลี้ยงกินตัว แต่ก็เสียบอลง่ายเช่นกัน ขณะที่ ฟาบินโญ่ ที่เคยเก็บกินคู่แข่งเรียบในแผงมิดฟิลด์ แต่ซีซั่นนี้ออกทะเล ยังกู่ไม่กลับ เกมรับไม่ดี เกมรุกช่วยอะไรมากไม่ได้

ขณะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คงเป็นคนที่ทำหน้าที่ได้สุดแล้วในแผงมิดฟิลด์นัดเจอกับ เชลซี แต่มันก็ยังไม่สุดในหลายๆจังหวะ ต่อให้จะขยันเพรสซิ่ง เก็บบอลให้กับทีมได้ แต่ถ้าเป็นจังหวะทีเด็ดทีขาด เขากลับทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย จังหวะที่มีช่องยิงไกล ก็กลับเลือกเปิดอยู่ตลอด หรือ จังหวะที่ต้องจ่ายเพื่อลุ้นทำประตู ก็จ่ายแบบไม่ได้เปรียบ ทำให้กองหน้าเล่นยากเหลือเกิน

สรุปง่ายๆว่า กองกลาง ลิเวอร์พูล ไม่มีตัวจ่ายแบบคิลเลอร์พาส ไม่มีตัวที่คอยทำประตูจากแถวสอง ทำให้ฟูลแบ็กทั้ง 2 ฝั่ง ต้องรับหน้าที่เกมรุกมากกว่าเดิม เพื่อช่วยเหลือ 3 ประสานข้างหน้า บางทีมันอาจเป็นดาบ 2 คมก็ได้ ที่ทำให้เกมรับ หงส์แดง รั่วเป็นประตูน้ำ เมื่อใดที่ฟูลแบ็กเล่นไม่ได้ หรือ กองหน้าหมดไอเดีย กองกลางก็จะหมดพิษสงไปในปริยาย

ซัมเมอร์นี้ ถ้าไม่ทุ่มเงินซื้อนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์มาล่ะก็ ลิเวอร์พูล อาจจะเจอความพังพินาศมากกว่านี้ คนที่มีอยู่ ไม่มีประสิทธิภาพที่จะก้าวมายกระดับทีมอีกแล้ว บางคนก็เล่น 1 นัด เจ็บ 3 เดือน เลี้ยงไปก็เสียข้าวสุกเปล่าๆ ควรจะขายทิ้ง และ เลือกคนใหม่ๆเข้ามาเสียดีกว่า

3.  แพสชั่นของทีม

ไม่ต้องย้อนไปไกล เอาแค่ซีซั่นก่อน .. ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เล่นเต็มไปด้วยแพสชั่น หิวกระหายที่จะคว้าชัยชนะให้ได้ทุกนัด เล่นไล่บี้เม็ด บุกใส่คู่แข่งแบบเต็มอัตราศึก ต่อให้ตามหลังคู่แข่ง ก็จะพยายามยิงประตูคืนกลับมาให้ได้

แต่ไม่รู้ว่าความสำเร็จที่ หงส์แดง สั่งสมมา มันทำให้พวกเขาอิ่มตัวหรือเปล่า เพราะทุกแชมป์รายการใหญ่ที่พวกเขาลงเล่นได้มาครบหมดแล้ว ทั้ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก .. จึงเป็นเหตุผลให้ทุกวันนี้ แพสชั่น ที่พวกเขาเคยทำให้เห็น กลับไม่เห็นมันอีกแล้วในซีซั่นนี้

เกมรุกที่เคยตื่นเต้น เดินหน้าฆ่ามันส์ บุกแหลกแลลโคตรมันส์ตลอด 90 นาที แต่ตอนนี้กลับดูแบบห่อเหี่ยว ไม่ว่าจะเตะหัวค่ำ หรือ ตี 2 ตี 3 ก็ชวนง่วงเหลือเกิน ..

เกมรับ ที่เคยเสียประตูยาก ยิ่งมี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยิ่งไม่มีแพ้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเจอกับทีมอะไร ก็พร้อมเสียประตูทุกเมื่อ บุกเขาอยู่ดีๆ พอโดนสวนเปรี้ยงเดียวหายเป็นประตู

ยิ่ง ลิเวอร์พูล ตามหลังคู่แข่งมากเท่าไหร่ ยิ่งเห็นนักเตะ ลิเวอร์พูล มากเท่านั้น พวกเขาไม่มีจิตวิญญาณ ที่อยากจะกลับมาเป็นผู้ชนะเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว นัดแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-4 คือชัดเจนมากๆ ปล่อยให้ เรือใบสีฟ้า เล่นฟุตบอลกันแบบสบายใจ ไม่มีใครคอยเพรสซิ่ง จึงไม่แปลกเลยที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เรียกประชุมทีมแบบด่วนพิเศษ เพื่อหาต้นตอปัญหาที่เกิดขึ้น

แต่เหมือนว่าทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ขนาดเจอกับ เชลซี เวอร์ชั่นที่พวกเขาก็ยังไม่ดีที่สุด ก็เกือบกลับออกมาแบบมือเปล่าเช่นกัน .. ลิเวอร์พูล ตอนนี้เต็มไปด้วยปัญหา ขนาด คล็อปป์ ยังยอมรับว่าที่เขายังได้ทำหน้าที่เป็นกุนซือ เพราะผลบุญในอดีตที่เคยพาทีมคว้าความสำเร็จ แต่ปัจจุบันกลับไม่เป็นแบบนั้น

ซีซั่นนี้ คงแก้ปัญหาให้ผ่านๆไปแบบนัดต่อนัด แต่ถ้าต้องการให้ ลิเวอร์พูล กลับมาผงาดอีกครั้ง ต้องผ่าตัดทีมครั้งใหญ่ช่วงซัมเมอร์นี้

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline