ซึ่งในเกมดังกล่าวพลพรรคทัพ “หงส์แดง” มาเครื่องร้อนแบบสุดๆ ในช่วงครึ่งหลังด้วยการเดินหน้าถลุงคู่แข่งได้ถึง 4 ตุง พร้อมเก็บเพิ่มเป็น 47 คะแนน จากการลงสนาม 30 นัด
ส่วนเจ้าบ้านอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด ยังคงต้องดิ้นรนอย่างหนักต่อไปในการลุ้นหนีตกชั้นกับอีก 7 เกมที่เหลือในฤดูกาลนี้
ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราจะพาไปเก็บตกประเด็นที่น่าสนใจหลังเกมเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมากันหน่อยว่ามีอะไรบ้างน่าหยิบยกมาพูดคุยกัน
การจัดทัพ
ออกสตาร์ทด้วยจัดทัพของทั้งสองฝั่ง ลีดส์ ยูไนเต็ด ของ ฆาบี การ์เซีย ก็จัดการส่งชุดที่ดีที่สุดลงสนาม แนวรับนำมาโดย ราสมุส คริสเต่นเซ่นส์, โรบิน ค็อก, ปาสกาล สเตราค์ และ จูเนียร์ ฟีร์โป
ส่วนแดนกลางขาด ไทเลอร์ อดัม จากอาการบาดเจ็บ ทำให้ใช้งานของ เวสตัน แม็คเคนนี่ กับ มาร์ก โรก้า
ขยับมาที่แผงเกมรุกจัดมาทั้ง แจ็ค แฮร์รีสัน, หลุยส์ ซินิสเตร์ร่า, เบรนเดน อารอนสัน และ โรดรีโก้ โมเรโน่
ข้ามมาทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดการใช้นักเตะหน้าเดิมจากเกมนัดก่อนที่เปิดบ้านเสมอกับ อาร์เซน่อล เคอร์ติส โจนส์ ที่โดนกระแสวิจารณ์อย่างหนักยังคงได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง
ส่วนแดนหน้าใช้ 3 ประสานอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โคดี้ กักโป และ ดิโอโก้ โชต้า ข่าวดีคือในซุ้มม้านั่งสำรองมีชื่อของ หลุยส์ ดิอ๊าซ กลับมาเป็นตัวเลือกได้แล้ว
รูปเกม
ช่วง 20 นาทีแรกต้องบอกว่าเป็นรูปเกมที่อึดอัดพอสมควรสำหรับ ลิเวอร์พูล มีจังหวะผิดพลาดกันให้เห็นในหลายๆ จังหวะ ทว่าจุดเปลี่ยนคือประตูขึ้นนำของ โคดี้ กักโป ที่ช่วยให้สถานการณ์มันผ่อนคลายมากขึ้น และปลดล็อคบางอย่างก่อนนำมาซึ่งตุงที่สองในอีก 4 นาที ต่อมา
ส่วนครึ่งหลัง ลีดส์ ที่พยายามจะเร่งขึ้นหวังฉกหนึ่งคะแนนในรังตัวเอง ก่อนมาได้ประตูตีไข่แตกที่เหมือนขุดหลุมฝั่งตัวเองแบบกลายๆ เพราะหลังได้ประตูพวกเขาพยายามดันขึ้น หวังเอาประตูคืนให้จงได้ ทว่าดันปล่อยให้แผงหลังลอยสูงจนเป็นที่มาในการตอนตอกตุงที่สาม และไหลเป็นประตูน้ำหลังจากนั้น
ซึ่งการเดินหน้าได้ประตูที่ 4 5 และ 6 ของ ลิเวอร์พูล ส่วนหนึ่งต้องชื่นชมพวกเขา ทว่าอีกส่วนก็ต้องบอกว่า ลีดส์ ไม่ยอมแพ้พยายามจะหาประตูอยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นผลการแข่งขันที่เละเทะคาบ้านในลักษณะแบบนี้
ฉะนั้นไม่แปลกเลยที่เกมนี้ตลอด 90 นาที โอกาสการทำประตูจะเท่ากันที่จำนวน 13 ครั้ง ทว่าเรื่องของประสิทธิภาพต้องบอกว่าแตกต่างพอสมควร จนเป็นที่มาของชัยชนะฝั่งผู้มาเยือน
ส่วนเรื่องของการจ่ายบอลทัพ “หงส์แดง” ทำได้ดีกว่าชัดเจน 867 ต่อ 296 ครั้ง รวมไปถึงการสัมผัสบอล และแทคเคิลในจังหวะต่างๆ ของเกม
ตำแหน่งของ เทรนท์
หนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือตำแหน่งการยืนของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ปกติจะประจำการทางฝั่งขวาเพียงอย่างเดียวทั้่งการเล่นเกมรุก หรือถอยลงมาเล่นเกมรับ
ทว่าความชัดเจนในเกมนี้คือ คล็อปป์ ใช้งาน เทรนท์ ในรูปแบบ อินเวิร์ตฟูลแบ็ค คือการดันขึ้นไปเล่นเป็นอีกหนึ่งมิดฟิลด์ในแดนกลางคอยแจกจ่ายบอล ยืนอยู่หน้าคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟ
จาก Heat map ที่มีเผยแพร่ออกมาในโลกโซเชียลชัดเจนเลยว่าบทบาทของ เทรนท์ ขยับขึ้นไปเล่นตรงกลางสนามมากกว่าตำแหน่งประจำอย่างแบ็คขวา และสามารถช่วยให้ทีมครองเกมได้เหนือกว่า อันนี้ถือว่าเป็ยข้อดีที่ต้องชื่นชม แม้จะเป็นบทบาทใหม่ก็ตาม
ซึ่งการขยับขึ้นมาเล่นในบทบาทดังกล่าวเหมือนช่วยดึงศักยภาพของดาวเตะรายนี้พอสมควร ก่อนนำมาซึ่ง 2 แอสซิสต์ในเกมเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
และจาก 2 เกมที่ เทรนท์ ได้รับบทบาทนี้สามารถบอกได้เลยว่าสอบผ่าน มีผลงานจับต้องได้ ทว่าในระยะยาวต้องพิสูจน์ตัวเองแบบยาวๆ ว่าจะสามารถยืนระยะรักษามาตรฐานไว้ได้หรือไม่
สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล
การเก็บชัยชนะเกมนี้ของทัพ “หงส์แดง” น่าจะทำให้แฟนบอลกลับมาแฮปปี้กันอีกครั้ง หลังไม่อาจชนะใครได้เลยในช่วง 4 นัดก่อนหน้านี้
ซึ่งสถานการณ์ลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์ต้องบอกว่าตามทฤษฎีพวกเขายังคงมีโอกาสตรงนั้นแบบเต็มๆ กับอีก 8 เกมที่อยู่ในมือ และ 9 คะแนนที่ตามหลังอันดับ 4 อย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แม้จะมี แอสตัน วิลล่า กับ ไบร์ทตัน มาเป็นตัวแปร และคู่แข่งสำคัญก็ตาม
ว่ากันตามตรงแม้ทางปฏิบัติอาจดูยากในการไล่ล่า ทว่าเมื่อมองกลุ่มทีมด้านบนที่มาตรฐานไม่ค่อยเอาแน่เอานอนได้เท่าไหร่นัก มันจึงกลายเป็นว่าถ้า คล็อปป์ และลูกทีม รักษาโมเมนต์ตั้มแบบเกมนี้ไว้ได้ตลอดก็ได้ลุ้นคั่วแบบยาวๆ
โปรแกรมหลังจากนี้ของ ลิเวอร์พูล ก็มีทั้งยาก และง่ายผสมกันไป เกมต่อไปได้กลับไปเล่นในแอนฟิลด์ดวลกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ หลังจากนั้นก็มีพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และปิดท้ายเดือนเมษายนด้วยการพบกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
ยูงทอง โปรแกรมหนัก
ด้วยสถานการณ์ของ ลีดส์ ตอนนี้คือการอยู่เหนือโซนสีแดง ทว่ามีแต้มนำหน้าอันดับ 18 อย่าง ฟอเรสต์ เพียง 2 แต้ม อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และยิงแต้มเบียดๆ แบบนี้ชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้เพียงนัดเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงได้แบบสุดขั้ว
โปรแกรมของทัพ “ยูงทอง” หลังจากนี้ถือว่าหนักเอาการเหมือนกัน ซึ่งพวกเขาจะลงเล่นในเดือนเมษายนอีก 2 นัดคือการออกไปเยือน ฟูแล่ม และกลับมาเล่นในบ้านดวล เลสเตอร์ พร้อมประเดิมเดือนพฤษภาคมด้วยการพบไปเยือน บอร์นมัธ
แน่นอนว่า 2 เกมที่ดวลทัพ เลสเตอร์ กับ บอร์นมัธ คือการพบทีมหนีตายกันโดยตรง ซึ่งพวกเขาควรรีบโกยแต้มให้ได้ เพราะโปรแกรมหลังจากนั้นมีทั้งพบ แมนฯ ซิตี้, นิวคาสเซิ่ล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
สุดท้ายทัพ ยูงทอง จะรอดจากการตกชั้นหรือไม่ คำตอบอาจอยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างเดือนนี้ ถ้าโกยแต้มได้แบบเต็มกราฟโอกาสได้โลดแล่นในพรีเมียร์ลีกในซีซั่นหน้าต่อก็ย่อมมีสูงตามไปด้วย
- Paolinho -