logo-heading

เรียกได้ว่าฟอร์มกำลังร้อนแรงอย่างต่อเนื่องแบบหยุดไม่อยู่จริงๆ สำหรับ "แมนเชสเตอร์ ซิตี้" และดูเหมือนตอนนี้พวกเขาจะเป็นแค่เพียงทีมเดียวใน 5 ลีกดังยุโรปที่มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์คว้า ทริปเปิ้ล แชมป์ ในฤดูกาลนี้

โอกาสที่ \"แมนฯ ซิตี้\" จะเถลิงบัลลังก์ \"ทริปเปิ้ล แชมป์\"

หากย้อนเวลากลับไปในประวัติศาสตร์ของลีกยุโรปทีมล่าสุดที่สามารถเถลิงบัลลังก์ ทริปเปิ้ล แชมป์ ได้นั้นก็คือ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อ 3 ปีก่อน และถ้าจะถามถึงสโมสรจากอังกฤษที่เคยทำได้แน่นอนว่ามีแค่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เมื่อปี 1999

จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็ 24 ปีแล้วบางที แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อาจกลายเป็นสโมสรที่ 2 จากอังกฤษที่จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ก็เป็นได้ในการคว้า ทริปเปิ้ล แชมป์ ว่าแล้วก็ไปดูกันหน่อยดีกว่าว่ามันมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนกัน ???

เริ่มจากสถานการณ์การลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก กันก่อนเลย หากย้อนกลับไปช่วง 20-30 วันที่แล้ว อาร์เซน่อล มีแต้มฉีกหนี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 8 คะแนน และแข่งมากกว่า 1 นัด ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็ดูเป็นงานยากสำหรับ "เรือใบสีฟ้า" ที่จะทำแต้มไล่จี้ได้ทัน เพราะช่วงนั้น "ไอ้ปืนใหญ่" เองก็มาตรฐานดีจริงๆ ไม่มีตกเลย และก็คว้าชัยได้รัวๆ 7 นัดติดต่อกัน

แต่ล่าสุดดูเหมือนสถานการณ์จะเปลี่ยนไปจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิงเมื่อ อาร์เซน่อล ดันสะดุดทำแต้มหล่นติดต่อกัน 3 นัด จากที่ควรได้ 9 คะแนนเต็มกลับกลายเป็นว่าเก็บได้แค่ 3 คะแนนเท่านั้น พวกเขาบุกไปนำ ลิเวอร์พูล ก่อน 2-0 แต่จบเกมที่เสมอ 2-2 รวมไปถึงเกมกับ เวสต์แฮม ก็เจอกับชะตากรรมเดียวกัน ส่วนการเจอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมบ๊วยใครๆ ต่างก็คิดว่าคงชนะสบาย แต่สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายที่ต้องดันทุรังเพื่อตามตีเสมอในช่วงทดเจ็บเสียอย่างงั้น

เมื่อ อาร์เซน่อล สะดุดมา 3 เกมติดกลายเป็นว่าตอนนี้โมเมนตั้มเรื่องความได้เปรียบมันเอนเอียงไปอยู่ทางฝั่ง แมนฯ ซิตี้ แล้ว ถึงจะมีแต้มตามหลังอยู่ 5 คะแนน แต่อย่าลืมว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แข่งน้อยกว่า 2 เกม และนัดถัดไปทั้ง 2 ทีมก็ต้องดวลกันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม 

ผลแพ้ชนะในเกมนี้อาจจะเป็นตัวตัดสินตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ก็เป็นได้โดยเฉพาะถ้ามันเป็น 3 คะแนนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะเท่ากับว่าคะแนนจะตามไล่จี้เหลือแค่ 2 คะแนนเท่านั้น มันมีโอกาสที่จะเป็นแบบนั้น เพราะสถานะของ แมนฯ ซิตี้ ตอนนี้คือไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ความกดดันก็เจอน้อยกว่า ตอนนี้พวกเขาเปรียบเสมือนหมาป่าที่กำลังวิ่งไล่ล่าอย่างหิวโหย และทาง อาร์เซน่อล ก็เป็นเหมือนแกะน้อยที่ต้องพยายามเอาตัวรอดให้ได้

และที่สำคัญคือสถิติการเจอกันส่วนใหญ่ทางฝั่ง แมนฯ ซิตี้ ก็ข่มกว่าชัดเจน พวกเขาเอาชนะ อาร์เซน่อล ได้ 7 นัดติดต่อกันจากทุกรายการ และทาง “ไอ้ปืนใหญ่” ก็ไม่สามารถเก็บชัยชนะที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ได้เลยนับตั้งแต่ปี 2015 ตอนนี้หลายๆ สิ่งดูเหมือนจะเป็นใจให้กับ แมนฯ ซิตี้ ค่อนข้างชัด ทั้งเรื่องผลงานที่ดีกว่า มีความมั่นใจมากกว่า และมีโอกาสที่จะทำแต้มหล่นน้อยกว่า อาร์เซน่อล ในช่วงโปรแกรมที่เหลืออยู่ซึ่งทางสื่อต่างประเทศหลายสำนักต่างก็เชื่อเหมือนกันว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะพาลูกทีมแซงและเข้าป้ายเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 9

โอกาสที่ \"แมนฯ ซิตี้\" จะเถลิงบัลลังก์ \"ทริปเปิ้ล แชมป์\"

ส่วนในรายการระดับ เอฟเอ คัพ ตอนนี้ทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ตีตั๋วเข้าไปรอในรอบชิงชนะเลิศแล้วเพื่อรอล่าแชมป์สมัยที่ 7 ก่อน ไม่เหมือนกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ช่วงหลังพาทีมผ่านเข้าไปถึงนัดชิงดำอยู่บ่อยๆ 

โดยคู่แข่งของพวกเขาคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับร่วมเมืองที่เพื่งชนะจุดโทษไบรท์ตันมา และเป็น ดรีมแมตช์ที่หลายคนรอคอย 

แต่ถ้าดูจากชั่วโมงนี้ยังไง "เรือใบสีฟ้า" ก็มีแต้มต่อที่ดีกว่า เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ไม่มี ราฟาเอล วาราน และ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ที่น่าจะเจ็บยาวทั้งคู่ก็ส่งสัญญาณให้เห็นชัดถึงวิกฤตในแผงแนวรับ ดังนั้นการรับมือกับแนวรุกที่กำลังโหดจัดจ้านของ เรือใบสีฟ้า ก็อาจทำให้เกิดภาพเหมือนเกมที่สกอร์จบที่ 6-3 ก็เป็นได้

ถ้าหาก แมนฯ ซิตี้ ตีตั๋วลิ่วไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลายๆ เสียงเห็นพ้องตรงกันว่ายังไงก็น่าจะเป็นแชมป์ เพราะถ้ามองจากภาพรวมของ 2 ทีมเมืองมิลาน ผลงานต่างก็เอาแน่เอานอนไม่ได้พอๆ กัน เรื่องของมาตรฐานก็ขึ้นๆ ลงๆ ไร้ความคงเส้นคงวา เมื่อวัดกันถึงประสิทธิภาพในด้านต่างๆ มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นรอง “เรือใบสีฟ้า” จริงๆ 

อย่างไรก็ตามโจทย์ที่ยากที่สุดของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั้นอยู่ที่รอบรองชนะเลิศ เพราะพวกเขาต้องเจอกับสโมสรที่ได้ชื่อว่าเป็น เดอะ คิง ของ ยูซีแอล และก็เป็นแชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้วนั่นก็คือ เรอัล มาดริด และมันจะเป็นการรีแมตช์จากเกมเมื่อปีก่อนด้วย เพราะ 2 ทีมนี้ก็เจอกันในรอบรองชนะเลิศ และสุดท้ายก็เป็น เรอัล มาดริด ที่พลิกสถานการณ์ในเกมเลก 2 ยัดเยียดความผิดหวังให้ แมนฯ ซิตี้ และไปต่อในรอบชิงฯ

การที่คุณยังอยู่ในเส้นทางที่ดีต่อการลุ้นความสำเร็จถึง 3 รายการใหญ่ๆ แน่นอนว่าคุณอาจจะต้องเหนื่อยและต้องล้ากับโปรแกรมที่แออัดเอามากๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสภาพทีมและการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ แต่ดูแล้วนี่อาจไม่ใช่เรื่องที่สร้างปัญหาให้กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สักเท่าไหร่

อย่างที่เราทราบกันว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ได้ลุ้นความสำเร็จทุกรายการและผ่านเข้ารอบลึกๆ แทบทุกปีนั้นปัจจัยหลักๆ ก็มาจากการมีผู้เล่นระดับคุณภาพที่สามารถทดแทนกันได้เป็นอย่างดี จะสังเกตได้ว่าพวกตัวสำรองหรือทีมชุดบีของ "เรือใบสีฟ้า" นั้นประสิทธิภาพไม่ได้ต่างจากทีมชุดใหญ่ของทีมอื่นๆ เลย

เมื่อดูจากภาพรวมทั้งหมดของสถานการณ์ตอนนี้ขอบอกเลยว่าแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถฝันเห็นทีมรักสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเถลิงบัลลังก์ ทริปเปิ้ล แชมป์ ได้เลย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลจากความเป็นจริง หลายๆ ปัจจัยชี้ให้เห็นว่ามันเปอร์เซนต์ที่จะเป็นไปได้มากกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าจะทำมันให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ ?

HaMu Dos Santos 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline