logo-heading

แน่นอนว่าผลงานของทัพ “งูใหญ่” คือการหักปากกาเซียนของใครหลายคน ก่อนที่ทัวร์นาเมนท์นี้จะเริ่มต้นขึ้นชื่อของ อินเตอร์ มิลาน ไม่ได้ถูกมองเป็น 1 ใน 10 สโมสรแรกที่จะผงาดเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศด้วยซ้ำ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด เพราะข้างกายเต็มไปด้วยยอดทีมที่เขี้ยวลากดินทั้งนั้น

อีกทั้งก่อนเริ่มต้นซีซั่นก็มีปัญหามากมายนอกสนาม โดยเฉพาะเรื่องของการเงินทำให้เราจะเห็นว่าตลาดนักเตะของ อินเตอร์ ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว และทุ่มซื้อนักเตะชื่อดัง มูลค่าแพงมากนัก 

ที่มีค่าตัวสูงที่สุดก็คือ ฆัวกิน กอร์เรอา ที่ไปดึงมาจาก ลาซิโอ ด้วยค่าตัวราว 15 ล้านยูโร กับ โรบิน โกเซนส์ จาก อตาลันต้า ที่มูลค่า 15 ล้านยูโร ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่คือการดึงมาแบบฟรีๆ กับยืมตัวไม่ว่าจะเป็น โรเมลู ลูกากู, เฮนทริค มคิทาร์ยาน หรือ อังเดร โอนาน่า

ทว่าด้วยความคาดหวังจากแฟนบอล จากการผงาดเป็นแชมป์ลีกเมื่อสองฤดูกาลก่อนทำให้พวกเขายังคงได้รับเป็นตัวเต็งเบอร์ต้นๆ ใน เซเรีย อา ทว่ามันแตกต่างไปจากในบอลถ้วยใหญ่ของยุโปรที่สามารถบรรจุพวกเขาอยู่ในหมวดหมู่ม้านอกสายตา

สดุดี "อินเตอร์" จากทีมนอกสายตา สู่การเข้าชิงถ้วยบิ๊กเอียร์

กระทั่งวันที่ผลการจับฉลากปรากฎขึ้น การได้อยู่ร่วมกับ บาเยิร์น มิวนิค และ บาร์เซโลน่า ยิ่งทวีคูณอัตราประสบความสำเร็จน้อยลงไปอีก เพราะด้วยชื่อชั้นในปัจจุบันการอยู่ในกรุ๊ป ออฟ เดธ แบบนี้ยากนักที่จะฝ่าฟันผ่านออกมาได้

การออกสตาร์ทเกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการพ่ายทัพ “เสือใต้” คาบ้านของตัวเองยิ่งเห็นอนาคตพวกเขาชัดขึ้น เพราะการได้เล่นกับทีมใหญ่เป็นตัวเต็งการพลาดคะแนนไปถือว่าเสียหายพอสมควร ทว่าสิ่งที่ ซิโมเน่ อินซากี้ และลูกทีมทำได้คือการกลับมาสู่เส้นทางของตัวเอง และลิขิตในแบบไม่ให้ไปตกอยู่ในกำมือของผู้เล่น

4 เกมหลังจากนั้นทัพ “งูใหญ่” เก็บไปได้ 10 คะแนน ทั้งเปิดบ้านชนะ บาร์เซโลน่า และบุกไปคว้า 1 แต้มจาก คัมป์ นู ในรูปแบบที่เกือบได้รับชัยชนะด้วยซ้ำ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกรุยทางเข้าสู่รอบต่อไปของตัวเอง

ส่วนในรอบน็อคเอาท์ต้องยอมรับว่า อินเตอร์ มิลาน แอบมีโชคอยู่หน่อยๆ คือเส้นทางไม่ได้แข็ง และยากจนเกินกำลังของพวกเขา รอบ 16 ทีทสุดท้ายดวลกับ ปอร์โต้ ก็ใช้ความแข็งแกร่งเกมในบ้านเอาชนะไปได้ และบุกไปยื้อผลเสมอที่โปรตุเกสในเกมนัดที่สอง

ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย พวกเขาก็ยังโคจรมาดวลกับตัวแทนจากลีกแดน “ฝอยทอง” อีกครั้ง ซึ่งเหมือนทุกอย่างมันจะจบตั้งแต่เกมแรกที่บุกไปเอาชนะ เบนฟิก้า 0-2  ก่อนกลับมาประคองสถานการณ์เสมอแบบถล่มทลาย 3-3 ในรังของตัวเอง เป็นการปิดฉากฆ่าสองทีมจากโปรตุเกสได้อย่างยอดเยี่ยม

สดุดี "อินเตอร์" จากทีมนอกสายตา สู่การเข้าชิงถ้วยบิ๊กเอียร์

กระทั่งถึงรอบรองชนะเลิศที่ต้องโคจรมาเจอกับไม้เบื่อ ไม้เมา อย่าง เอซี มิลาน ที่รู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี ซึ่งบทสรุปก็อย่างที่ทุกคนได้เห็นกันว่าสองเกมที่พบกัน อินเตอร์ ดูดีกว่า และคู่ควรเป็นอย่างมากในการกรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

แน่นอนในทุกรอบพวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ส่วนหนึ่งคือเรื่องของวาสนาที่จับฉลากมาเจอทีมไม่แข็งนัก และเลี่ยงเหล่าหัวกะทิของรายการมาได้ แต่ยังไงเสียก็ต้องกล่าวชื่นชมในความยอดเยี่ยมของทีม และสต๊าฟฟ์โค้ชที่ช่วยกันจนได้เข้าไปสู่รอบแห่งความฝันเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี

กับผลงานตรงนี้ส่วนหนึ่งที่ต้องยกเครดิตให้แบบเต็มๆ คือ ซิโมเน่ อินซากี้ โค้ชผู้ที่ครั้งหนึ่งเก้าอี้ร้อนฉ่ามีโอกาสถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อราวเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพราะผลงานในเกมลีกค่อนข้างย่ำแย่

ในห้วงดังกล่าว อินซากี้ พาทีมไร้ชัยในเกมลีกติดต่อกันนานถึง 5 เกมติดต่อกัน ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นการพ่ายแพ้มากถึง 4 นัด ฉะนั้นไม่แปลกที่จะมีข่าวออกมาเรื่องของการแยกทาง ทว่าหลังจากนั้นกลายเป็นช่วงเข้าเบรค ปล่อยของออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม 

อินซากี้ พาทัพ “งูใหญ่” กลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และถูกเวลาพอสมควร การคว้าชัยใน เซเรีย อา ติกต่อกัน 5 นัด ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อยอดในรายการ แชมเปี้ยนส์ลีก ส่วนหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือเกมรุกที่ดุดันในช่วงหลัง

ทีมไม่ได้พึ่งพาใครเพียงรายเดียว แต่สามารถผสมผสานช่วยเหลือกันอย่างลงตัว เลาตาโร่ มาร์ติเนซ, เอดิน เชโก้ และ โรเมลู ลูกากู กลายเป็นแผนกกองหน้าที่ผลัดเปลี่ยนมีชื่อขึ้นสกอร์บอร์ดอยู่บ่อยครั้ง

และที่สำคัญเกมรับที่โดดเด่นเกมคลีนชีตได้ถึง 6 จาก 8 เกมหลังสุดในทุกรายการ ขนาดขาดแนวรับตัวหลักอย่าง มิลาน สคริเนียร์ มาโดยตลอด

จากสถิติที่หยิบยกมาให้ได้ชมมันแสดงให้เห็นว่า อินเตอร์ มิลาน เริ่มกลับมาสู่โมเมนตั้มที่ดีสำหรับพวกเขาอีกครั้ง นักเตะมีความมั่นใจ และแสดงให้เห็นว่ายังคงเชื่อใจในตัวของกุนซือ พร้อมตอกสนองผลงานที่ดีออกมาในสนาม

ถ้าจะกล่าวว่า อินเตอร์ มิลาน จะกรุยทางถึงรอบชิงชนะเลิศ ศึกแชมเปี้ยนส์ลีกซีซั่นนี้ตั้งแต่ก้อนรายการจะเริ่มเปิดฉาก คงมีหลายคนหัวเราะ และคือเรื่องเพ้อฝันพอสมควร

ทว่าสิ่งที่หลายคนคิดบางทีมันส่วนทางกับความเป็นจริง และ อินเตอร์ แสดงให้เห็นแล้วว่าม้ามืดตัวนี้พร้อมหักปากกาเซียนทั้งหลาย ในการลุ้นความสำเร็จมาครอบครองอีกครั้ง

แน่นอนว่าเราไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อจบเกมนัดชิงชนะเลิศที่กรุงอิสตันบูลพวกเขาจะเป็นฝ่ายกระโดดโลดเต้นฉลองชัย หรือซับน้ำตาอยู่ข้างสนาม

ทว่าจะบอกว่าคืออีกหนึ่งซีซั่นที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นก็คงไม่ผิด

จากสถานการณ์สโมสรที่เหมือนรถไฟเหาะ เดี๋ยวมีขึ้น เดี๋ยวมีลง ฟอร์มแย่ติดต่อกัน ก่อนกลับมาผลงานดีมีอนาคตอีกครั้ง

อินเตอร์ มิลาน ในฤดูกาลนี้เหมาะสมสำหรับการถูกยกย่องว่าเป็น ม้ามืด อย่างแท้จริง

ไม่ว่าเจอใครในรอบชิงชนะเลิศ เราคงได้เห็นอสรพิษจากงูใหญ่ทีมนี้อย่างแน่นอน

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline