แม้ในช่วงหลังเจ้าตัวจะลดระดับตัวเองไปคุมทีมในระดับกลาง แต่ด้วยความเป็น มูรินโญ่ แสงสปอร์ตไลท์ก็มักจะสาดส่องไปถึงตัวเขา และได้รับความสนใจจากสื่อ หรือแฟนบอลอยู่เหมือนเช่นเคย
แน่นอนว่ายี่ห้อ สเปเชียล วัน หนึ่งในสิ่งที่อยู่คู่กับตัวเขามาตลอดคือความสำเร็จ และโทรฟี่แชมป์ต่างๆ นับตั้งแต่แจ้งเกิดพา ปอร์โต้ เถลิงบัลลังก์คว้าแชมป์ยุโรปทั้งถ้วยเล็ก ถ้วยใหญ่ หลังจากนั้นคือยุคที่มีเขาเป็นเหมือนตัวชูโรงในวงการกุนซือเลยก็ว่าได้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร หรือคอนเมนท์ไหนๆ มูรินโญ่ มักสร้างแรงสั่นสะเทือนได้เป็นอย่างมาก และยังคงเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนด้วยสไตล์ที่กวนตีน หรือภาษาวัยรุ่นยุคใหม่คือตัวเรียกตีน จะให้ใครมารักทั้งหมดก็คงไม่ได้ แต่สิ่งที่เราต้องยอมรับคือวิธีการ และความสามารถที่ มูรินโญ่ รังสรรค์มาตลอดเส้นทางกว่า 20 ปี นั้นมันมากมายเพียงพอต่อการโค้งหัวคารวะ
ตลอดเส้นทางอย่างที่กล่าวไป มูรินโญ่ ประสบความสำเร็จกับแทบจะทุกสโมสรที่เข้าไปรับงาน เริ่มตั้งแต่ ปอร์โต้ ที่เราได้เห็นเทพนิยายม้ามืดผงาดคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่ ภาพวันที่สไลด์เข่าดีใจหลังล้ม แมนฯ ยูไนเต็ด ในรอบน็อคเอาท์กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ในวันนี้
เรื่อยมาจนถึงวันที่ได้โอกาสจับงานคุมทีมใหญ่อย่าง เชลซี เชื่อเหลือเกินวันนั้นหลายคนคงเกลียดขี้หน้าในความขี้แอ็ค หน้าบึงตึง พร้อมประกาศว่าเขาคือคนพิเศษ แต่ก็นั้นแหละความน่าหมั่นไส้ตรงนั้นถูกตบกลับมาฉากใหญ่ด้วยความสำเร็จที่หลั่งไหลมาสู่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
มูรินโญ่ จัดการเปลี่ยนโฉม เชลซี ให้กลายเป็นมหาอำนาจฟุตบอลอังกฤษอยู่ยุคหนึ่ง ด้วยสไตล์ฟุตบอลที่แตกต่างออกไป มีเกมรับที่เหนียวแน่นอน และเกมรุกที่โฉบเฉี่ยว แถมการปลุกปั้น ดิดิเยร์ ดร็อกบา จากแข้งโนเนมที่แม้แต่ โรมัน อบราโมวิช ไม่อยากได้ ให้กลายเป็นกองหน้าที่ครบเครื่องมากที่สุดเท่าที่สโมสรเคยมีมา
ห้วงเวลา 3 ปีในถิ่น เดอะ บริจด์ มันเพียงพอต่อการเข้าไปนั่งในหัวใจของสาวก “สิงห์บลูส์” เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของความสำเร็จ แต่คือวิธีการในการปกครองทีม และสร้างอาณาจักรวางรากฐานให้ทีมอย่างมั่นคง และเชื่อว่าจนถึงปัจจุบันกลิ่นอายของความเป็น มูรินโญ่ ยังคงหลงเหลืออยู่ในทีม
กระทั่งการย้ายไปคุมทัพ อินเตอร์ มิลาน ก็ไปสร้างความแข็งแกร่งให้ทีมจนคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ติดต่อกัน 2 สมัย บวกกับความยิ่งใหญ่ในรายการ แชมเปี้ยนส์ลีก ที่พาทีมคว้าความสำเร็จเมื่อซีซั่น 2009-10 และเป็นทริปเปิ้ลแชมป์ในบั้นปลาย
ซึ่งนักเตะในชุดนั้นว่ากันตามตรงหลายๆ คนอาจจะไม่ใช่ระดับโลก หรือชื่อชั้นน่าสนใจ แต่ มูรินโญ่ สามารถเค้นศักยภาพให้นักเตะอย่าง ดิเอโก้ มิลิโต้ เป็นสุดยอดดาวยิง ดึงฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ เวสลี่ย์ สไนเดอร์ ให้กลายเป็นมิดฟิลด์ฟอร์มเทพ หรือ ลูซิโอ เป็นแผงหลังเหล็กที่แข็งแกร่ง
โดยหลังออกจากทัพ “งูใหญ่” มูรินโญ่ ก็ไปรับงานหนึ่งในความฝัน และภาพที่แฟนบอลอยากเห็นอย่าง เรอัล มาดริด ว่าจะไปสุดมากขนาดไหน
ในเรื่องของความสำเร็จกับทัพ “ราชันชุดขาว” แม้จะไม่ได้มากมาย แต่ก็สามารถเอื้อมมือไปสอยแชมป์ได้ถึง 3 โทรฟี่ พร้อมสถิติการคุมทีมมีเปอร์เซ็นต์ชนะมากถึง 71% ถือว่าสูงเลยทีเดียว
จากนั้นกราฟชีวิตกุนซือของ มูรินโญ่ ก็วนกลับมาคุมทัพ เชลซี อีกครั้ง พร้อมการต้อนรับดั่งฮีโร่กลับมายังบ้านหลังเดิม และแน่นอนสิ่งที่ “น้ามู” รังสรรค์ให้แฟนๆ คือโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีก และลีก คัพ กลายเป็นดับเบิ้ลแชมป์ในซีซั่น 2014-15
การกลับมาคราวนี้ร่วมงานกันอยู่ได้ราวๆ 2 ปี ก็ถึงคราวที่ต้องแยกย้าย ก่อนเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดึงตัวหวังจะพาทีมให้กลับมาประสบความสำเร็จให้ได้อีกครั้ง เพราะตอนนั้นต้องยอมรับว่าทัพ “ปีศาจแดง” มีปัญหามากเหลือเกิน
ภายใต้ชายคา โอลด์ แทรฟฟอร์ด นายใหญ่ชาวโปรตุเกสก็จัดการเสกแชมป์ให้กับเหล่าแฟนบอลตั้งแต่ขวบปีแรก แม้ถัดจากนั้นผลงานจะกระท่อนกระแท่น แต่ทว่ามันก็มีรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ โดยเฉพาะการซื้อตัวนักเตะที่ไม่ตรงตามสเป็คที่เขาอยากได้ บวกกับคลื่นใต้น้ำในห้องแต่งตัว จนสุดท้ายก็ต้องแยกทางกันไปช่วงปลายปี 2018
ซึ่งหลังจากนั้นวันนั้นวลีที่ว่า “โค้ชตกยุค” เริ่มถูกชาวโชเชียลนำเข้ามาประดับยศให้กับ มูรินโญ่ โดยเฉพาะหลังจากเข้ารับงานคุมทัพ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เมื่อช่วงปี 2019
ผลงานของ “น้ามู” ในวันนั้นถือว่าดรอปลงไปพอสมควร แถมกลายเป็นสโมสรที่เขาไม่อาจพาไปสัมผัสโทรฟี่แชมป์ได้เลย นับตั้งแต่ย้ายออกมาจาก ปอร์โต้ เมื่อปี 2004 และด้วยความล้มเหลวตรงนี้กลายเป็นภาพที่ชัดขึ้น และกระแสวิจารณ์ก็หนักหน่วงขึ้นไปอีกว่า มูรินโญ่ คือโค้ชที่ล้าสมัยไปแล้ว
จนกระทั่งทุกอย่างถูกตอบทั้งหมดหลังเข้ารับงานคุมทีม โรม่า ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี
การเข้ามาของ มูรินโญ่ เจ้าตัวเหมือนกลายเป็นอีกคน ภาพนอกสนามน่ารักๆ มากมายที่กลายเป็นไวรัล ภาพที่ซื้อรองเท้าให้กับกองหน้าดาวรุ่งของทีมอย่าง เฟลิกซ์ อเฟนา-กียาน ภายหลังทำประตูช่วยทีมได้นั้น กลายเป็นว่าสามารถซื้อใจลูกทีมได้อย่างหมดจด
ส่วนผลงานในสนามแม้จะไม่สวยงามแบบครบถ้วน 100% มีสะดุดแพ้ หลุดเสมอให้เห็น แต่มันเป็นสิ่งที่แฟนบอลเองก็ต้องยอมรับว่าศักยภาพของนักเตะในภาพรวม ยังไม่อาจไปเบียดสู้กับเหล่าทีมหัวตารางได้ทั้งหมด
แต่ทว่าในเรื่องของความดุดัน “น้ามู” ยังคงจัดให้เหมือนเช่นเคยโดยเฉพาะการปะทะวาจากับผู้ตัดสิน หรือตอบโต้นักข่าวตามที่เราเห็นข่าวกันอยู่บ่อยครั้ง อาจไม่ได้รุนแรงแต่มีอัตราความหนักหน่วงทางคำพูดพอสมควร
การที่ มูรินโญ่ พาทีมคว้าแชมป์ คอนเฟอเรนซ์ ลีก ได้เมื่อซีซั่นก่อนคือความสำเร็จครั้งใหญ่ของสโมสร และเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ที่สามารถคว้าโทรฟี่ระดับทวีปมาครองได้สำเร็จ
ซึ่งนั้นเพียงพอจะทำให้นายใหญ่รายนั้นจารึกชื่อว่าเป็นกุนซือคนแรกที่คว้าแชมป์ยุโรปทุกรายการที่ลงสนามคุมทีม แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าแค่ความสำเร็จในถ้วยเล็กๆ แต่นั้นมันก็ยิ่งใหญ่มากพอสมควรสำหรับสาวก โรมานิสตา
และอีกอย่างคือการพิสูจน์ว่า มูรินโญ่ ยังคงมีแท็คติก และแผนการในวิธีทางของตัวเอง โดยเฉพาะฟุตบอลน็อคเอาท์ถ้วยยุโรปที่เขาช่ำชอง และถนัดวางรูปแบบให้ลูกทีมเล่น จนสามารถประสบความสำเร็จได้
ส่วนกับฤดูกาลล่าสุดเป็นอีกครั้งที่ มูรินโญ่ สามารถพาต้นสังกัดกรุยทางเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยยุโรปอีกครั้ง คือในศึกยูโรปา ลีก ทัวร์นาเมนท์ที่เขาเคยเอื้อมไปสัมผัสมาแล้ว 2 ครั้ง สมัยคุมทัพ ปอร์โต้ (ชื่อเดิม ยูฟ่า คัพ) กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งทั้ง 2 ครั้ง ลงเอยด้วยชัยชนะทั้งหมด
ส่วนถ้ามองภาพรวมเป็นในรายการยุโรปทั้งหมด 5 ครั้งก่อนหน้านี้ มูรินโญ่ สามารถปราบคู่แข่ง พร้อมเถลิงคว้าแชมป์มาครองได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในหัวโขน ปอร์โต้, อินเตอร์ มิลาน, แมนฯ ยูไนเต็ด หรือเมื่อปีก่อนกับ โรม่า
แน่นอนในตอนนี้เราไม่อาจรู้ได้ว่าเกมในรอบชิงชนะเลิศที่พบกับ เซบีย่า จะลงเอยด้วยผลการแข่งขันในรูปแบบไหน
แต่สิ่งที่ มูรินโญ่ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไอ้คนที่โดนวิจารณ์ว่าล้าหลัง หรือตกยุค ก็สามารถพาทีมลุ้นความสำเร็จในรายการใหญ่ของยุโรปถึง 2 ปีติดต่อกัน
และแน่นอนบางทีแฟนบอล โรม่า อาจไม่ยี่หระด้วยหรอกกับคำกล่าวต่างๆ ที่ส่งตรงมาถึงกุนซือของพวกเขา
เพราะสุดท้ายทีมที่ถูกจดจำ คนที่ถูกกล่าวถึงคือ “ผู้ชนะ”
ซึ่งที่ผ่านมา โชเซ่ มูรินโญ่ แสดงออกมาให้พวกเราได้เห็นอยู่เสมอ
- Paolinho -