logo-heading

ดาวยิงทีมชาติบราซิลย้ายมาสวมเครื่องแบบตรา “หงส์แดง” ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ 2015 จาก ฮอฟเฟ่นไฮม์ แน่นอนว่าในวันนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะอยู่โยงยาวกับทีมนานมากเกือบ 10 ปี จนสามารถสถาปนาตัวเองกลายเป็นตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสร

ด้วยผลงานที่ผ่านมา ฟีร์มีโน่ อาจไม่ได้พูดถึงเท่า จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันผู้ยิ่งใหญ่ หรือผลงานทำประตูไม่ได้ยอดเยี่ยมแบบ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่ทว่าสิ่งที่เขาทำคือเพื่อทีม และเป้าหมายที่มีร่วมกันในสนามสโมสร

ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราในวันนี้จะพาไปชมโมเมท์เด่นของ ฟีร์มีโน่ ในสีเสื้อของ ลิเวอร์พูล ว่ามีอะไรบ้างที่น่าจดจำที่ทำให้คู่ควรต่อการที่แฟนบอลกล่าวยกย่อง

 

โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ : จากนักเตะธรรมดา สู่ตำนานที่ แอนฟิลด์

จากนักเตะธรรมดา

นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปเมื่อช่วงซัมเมอร์​ 2015 ที่ ลิเวอร์พูล ไปดึงตัว ฟีร์มีโน่ มาจาก ฮอฟเฟ่ยไฮม์ ด้วยค่าตัวราว 29 ล้านปอนด์ ซึ่งคราวนั้นเกิดขึ้นในยุคที่มีกุนซือที่ชื่อว่า แบรนดอน ร็อดเจอร์ส ซึ่งจะว่าไปก็เหมือนเป็นสมบัติชั้นยอดที่นายใหญ่รายนี้ทิ้งไว้ให้กับทีม

ซึ่งบทบาทของ ฟีร์มีโน่ ในช่วงที่ค้าแข้งในเยอรมัน ส่วนใหญ่ถูกจับไปเล่นในบทบาทเพลย์เมคเกอร์ทำเกมอยู่หน้าหัวหอกตัวเป้า ทว่าก็มีบางเกมที่เจ้าตัวถูกดันขึ้นไปเล่นในบทบาทหมายเลข 9 หรือก็ถ่างออกไปยืนริมเส้นก็เคยมาแล้ว

สถิติกับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในภาพรวมก็ถือว่าไม่ขี้เหร่ ฟีร์มีโน่ กระทุ้งไปทั้งหมด 49 ประตู กับ 36 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 153 นัด

ส่วนการย้ายมาร่วมทัพ “หงส์แดง” ตำแหน่งของ ฟีร์มีโน่ ถูกปรับขยับอยู่หลายครั้ง ทั้งกองหน้าตัวเป้า, หน้าต่ำ หรือ เพลย์เมคเกอร์ อีกทั้งในตำแหน่งตัวริมเส้นก็เคยมาแล้ว เพราะในช่วงนั้นทีมมีกองหน้าที่คอยสลับกันเล่นอย่าง ดิว็อค โอริกี้, แดเนียล สเตอร์ริดจ์, คริสติย็อง เบนเตเก้ และ แดนนี่ อิงส์

ทว่าจุดเปลี่ยนของเขาคือการเข้ามาของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ปรับเปลี่ยน และมอบตำแหน่งหน้าต่ำให้กับเขา ซึ่งเป็นโจทย์แรกที่นายใหญ่เมืองเบียร์​จัดการให้ ก่อนจะเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็น ฟอล ไนน์ ที่แข็งแกร่งมากที่สุดเท่าที่โลกฟุตบอลเคยสัมผัสมา

ส่วนหนึ่งต้องให้เครดิต คล็อปป์ ที่เล็งเห็นถึงประโยชน์ของ ฟีร์มีโน่ ส่วนอีกทางก็ต้องชื่นชมนักเตะว่าไม่ได้ต้องการเพียงแค่สถิติการทำประตู แต่ทุกอย่างคือการลงไปเล่นเพื่อทีมจริงๆ จนกลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญพาทีมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

ไม่แปลกที่วันนั้นจะก้าวขามา แอนฟิลด์ ด้วยนักเตะธรรมดาคนหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลที่หลงรัก และพิสูจน์ว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อสโมสรแห่งนี้ มากกว่าความสำเร็จส่วนตัว

ฟอล ไนน์ ที่ดีที่สุด

ต่อเนื่องจากประเด็นข้างต้นกับบทบาทการเล่นเป็น ฟอล ไนน์ ของ ฟีร์มีโน่ ที่ถูก เจอร์เก้น คล็อปป์ ดัดแปลง และปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นตำแหน่งที่ใช่ และงัดศักยภาพของนักเตะให้ออกมาได้มากที่สุด

อธิบายแบบเข้าใจง่ายผู้เล่นในตำแหน่ง ฟอล ไนน์ จะไม่ใช่กองหน้าแบบจ๋าๆ ที่คอยยืนรอทำประตูในกรอบเขตโทษเพียงอย่างเดียว ทว่าหน้าที่คือลงมาช่วยเกมแดนกลาง เชื่อมเกมจากกลางไปหน้า เปิดพื้นที่ให้กับแนวรุกคนอื่นๆ ในการคอยโจมตีโซนเกมรับของคู่แข่ง อีกทั้งทำให้เกมรับของคู่แข่งเปิดช่องมากกว่าเดิม 

ซึ่งกับบทบาทตรงนี้ต้องบอกว่าไม่ใช่งานง่ายๆ ที่ใครจะมาเล่นก็ได้

แน่นอนว่าด้วยบทบาทที่ต้องเล่นแข้งรายนั้นต้องมีทักษะรอบด้านเคลื่อนตัวหาพื้นที่หาช่องว่างที่ชาญฉลาด, สร้างสรรค์เกม, เคลื่อนที่ตัวเปล่าให้เกิดประโยชน์ และจบสกอร์ให้ได้ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา ฟีร์มีโน่ แสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

ครั้งหนึ่ง คล็อปป์ เคยกล่าวถึงบทบาทของ ฟีร์มีโน่ ไว้ว่า “เขาฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อด้วยทุกอย่างที่เขากำลังทำ เขามีเทคนิคในระดับสูงที่สุด สามารถเล่นในพื้นที่แคบๆ และตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆ ได้เป็นอย่างดี”

ด้วยศักยภาพของ ฟีร์มีโน่ ที่แสดงออกมามันเป็นส่วนช่วยสำคัญที่ทำให้ ซาดิโอ มาเน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ เหมือนคนที่คอยติดทองที่ด้านหลัง ส่งเสริม และยกระดับเพื่อน และคุณภาพของทีมไปพร้อมๆ กัน

โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ : จากนักเตะธรรมดา สู่ตำนานที่ แอนฟิลด์

กวาดแชมป์ครบถ้วน

ด้วยผลงาน ด้วยศักยภาพที่กล่าวไป มันคงจะไม่มีความหมายถ้าไร้ความสำเร็จ ซึ่งกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เข้าสามารถกวาดโทรฟี่แชมป์ใหญ่ที่ลงสนามกับทีมมาครองได้ทั้งหมด

ซึ่งก่อนหน้าที่เจ้าตัวจะย้ายมาร่วมทัพ ลิเวอร์พูล ฟีร์มีโน่ ไม่เคยสัมผัสแชมป์ในระดับเมเจอร์มาก่อนเลยทั้งสมัยเล่นที่บราซิล หรือ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ก่อนมาระเบิดความสำเร็จในถิ่น แอนฟิลด์

เริ่มต้นด้วยแชมป์ แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อฤดูกาล 2018-19 ก่อนที่หลังจากนั้นจะค่อยๆ ไล่ตามเก็บความสำเร็จมาอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งการปิดฉากรอคอยแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อซีซั่น 2019-20 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่เจ้าตัวลงสนามครบทุกเกมในลีกอีกด้วย

จากนั้นก็หลั่งไหลมาเรื่อยๆ ทั้ง เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, สโมสรโลก, ซูเปอร์ คัพ หรือ คอมมิวนิตี้ ชิลด์

รวมแล้วช่วงเวลา 8 ปี ในถิ่น แอนฟิลด์ หัวหอกทีมชาติบราซิลโกยแชมป์ไปได้มากถึง 7 รายการ เก็บทุกความสำเร็จร่วมกับสโมสร และคว้าเกียรติยศรายการใหญ่เท่าที่ลงสนามมาครอบครองได้ทั้งหมด

ซัดเกิน 100 ประตู

ตลอดระยะเวลา 8 ปี ในถิ่น แอนฟิลด์ ฟีร์มีโน่ กระทุ้งประตูช่วยทีมไปได้ทั้งหมด 110 ประตู จากการลงสนาม 361 เกม ซึ่งเจ้าตัวถือว่าเป็นผู้เล่นคนที่ 19 ของ ลิเวอร์พูล ที่ซัดแตะหลักร้อยประตูในประวัติศาสตร์สโมสร 

ส่วนซีซั่นที่ผลงานดีที่สุดของเจ้าตัวคือฤดูกาล 2017-18 ที่จัดการซัดไปได้มากถึง 27 ตุง จาก 54 เกม พร้อมมีชื่อติดเป็นหนึ่งในแคนดิเดตติดทีมยอดเยี่ยมของศึก แชมเปี้ยนส์ลีก อีกด้วย

สำหรับฤดูกาลสุดท้ายโอกาสลงสนามของ ฟีร์มีโน่ อาจไม่ได้มากมายเหมือนปีที่ผ่านๆ มา แต่ทว่าก็จัดการสอยไปได้ถึง 12 ประตู ซึ่งหนึ่งในนั้นเหมือนฟ้าลิขิต บทละครให้กับเขา ภายหลังทำประตูในเกมสุดท้ายที่ แอนฟิลด์ ช่วยทีมตามตีเสมอ แอสตัน วิลล่า ได้สำเร็จ

แน่นอนชื่อของ ฟีร์มีโน่ แตกต่างจากนักเตะบราซิลชื่อดังหลายๆ  ที่มีลูกเล่นแพรวพราวอย่าง โรนัลโด้ (R9), โรนัลดินโญ่, เนย์มาร์ หรือ วินิซิอุส จูเนียร์ ในปัจจุบัน

ทว่าเขาคือคนที่เล่นฟุตบอลเพื่อทีม อาจไม่ได้หรูหรา แต่ครบถ้วนด้วยความสามารถ

อาจไม่ได้โดดเด่น แต่คือคนสำคัญที่พร้อมช่วยเข็นทีมไปข้างหน้า ทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะของสโมสร ซึ่งมันตอบแทนมาด้วยความสำเร็จที่จับต้องได้ตลอด 8 ปีใน แอนฟิลด์

“อยู่ให้รัก จากให้คิดถึง” วลีนี้ใช้กับ ฟีร์มีโน่ ได้เป็นอย่างดีในห้วงเวลานี้

การจากลาครั้งนี้ไม่มีแฟนบอล เดอะ ค็อป คนไหนรู้สึกโกรธแค้น หรือเจ็บฝั่งใจ แต่คือการแยกย้ายด้วยความรู้สึกที่ดีๆ ที่มีต่อกัน

คนธรรมดาที่สุดแสนสำคัญแห่ง หงส์แดง “โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่”

- Paolinho -
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline