logo-heading

เพราะขุนพล เดอะ ซิตี้เซ่น เล่นจับขึง และ ดึงขนใส่ ราชันชุดขาว อยู่ฝ่ายเดียว เล่นเอาเจ้าพ่อฟุตบอลยุโรปแชมป์ 14 สมัย ได้แต่วิ่งไล่ตาม อารมณ์เหมือนเป็น "ลิง" ที่ต้องไล่ชิงบอล นักเตะ เรือใบสีฟ้า ไปทั่วสนาม ไล่เท่าไหร่ ก็ไม่จน ไล่เท่าไหร่ ก็เหมือนเหนื่อยเปล่า

เมื่อจบเกม เสียงแซ่ซ้อง สรรเสริญผลงาน แท็คติค และ โอกาสคว้าแชมป์ ยูซีแอล สมัยแรก กระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศ เพราะชั่วโมงนี้ไม่รู้จริงๆว่า ใครจะมาหยุดพวกเขาอยู่ ดังนั้นทริปเปิ้ลแชมป์ ในซีซั่นนี้ ไม่ใช่เรื่องใกล้เกินเอื้อมอะไรสักนิด และ มันสมราคาเต็งแชมป์ทุกรายการด้วยซ้ำ ถ้าพวกเขาทำประวัติศาสตร์ให้สำเร็จอีกครั้ง

ทำไม แมนฯ ซิตี้ ถึงได้รับการยกย่อง และ มองว่าคู่ควรกับการคว้า 3 แชมป์ มากขนาดนั้น เดี๋ยวจะพาไปดู !!

1. ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่เคยแพ้ใครเลยในซีซั่นนี้

การจะเป็นแชมป์ คุณต้องไม่กลัวใครหน้าไหน ต่อให้ต้องเผชิญกับขวากหนามมากแค่ไหนก็ตาม ซึ่ง เรือใบสีฟ้า ก็ทำให้เห็นแล้วว่า ไม่ใช่แค่ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เท่านั้น ที่พวกเขาครองเมือง แต่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ ก็ตบมหาอำนาจแห่งยุโรป มานับไม่ถ้วน

รอบแบ่งกลุ่ม ปราบทั้ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ เซบีย่า ขณะที่รอบน็อคเอาท์ ไล่ตบทีมจากเยอรมัน ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ไลป์ซิก และ บาเยิร์น มิวนิค เจ้าพ่อฟุตบอลเมืองเบียร์ ยังไร้หนทางสู้ ก่อนที่จะดาหน้าไล่ถล่ม แชมป์เก่า แบบหมดรูปไปอีก 4-0 ช่างเป็นฟอร์มที่ไร้เทียมทานจริงๆ

ไม่แปลกใจ และ ไม่ผิดคาดเลยสักนิด ว่าทำไม แมนฯ ซิตี้ คือเต็งจ๋าของรายการ มาตั้งแต่เริ่มต้น โดยตลอด 12 นัด ที่ผ่านมา เรือใบสีฟ้า ยังไม่เคยแพ้ให้กับทีมไหนเลยในซีซั่นนี้ ชนะไป 7 นัด และ เสมอ 5 นัด ซึ่งแมตช์ที่เสมอส่วนใหญ่ ก็เป็นเพราะยิงกระจุย เข้ารอบชัวร์ๆไปแล้ว หรือไม่ก็เก็บผลเสมอในนัดแรก ก่อนกลับมาตบที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม

การผ่านเข้าไปรอบชิงชนะเลิศครั้งนี้ ต้องเจอกับ อินเตอร์ มิลาน แน่นอนว่าผลงานทุกๆอย่างของ เรือใบสีฟ้า เหนือกว่าทุกกระบวนท่า มีโอกาสที่พวกเขาจะสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ ยูซีแอล ครั้งแรก แต่กระนั้นวงการลูกหนัง มีเรื่องปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ ต้องรอดูว่าพวกเขาจะทำได้สำเร็จหรือไม่

2. โอกาสทำทริปเปิ้ลแชมป์อีกครั้งในรอบ 4 ปี

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างความสำเร็จจนเคยชิน กวาดมาหมดทุกโทรฟี่แล้วในประเทศอังกฤษ แต่เพราะไม่สามารถนำแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาประดับสโมสรได้สักที ดังนั้นหลายๆคนอาจจะลืมไปแล้วว่า เรือใบสีฟ้า เคยคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน

เมื่อฤดูกาล 2018-19 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประกาศศักดาคว้าทุกแชมป์ในลีกลูกหนังแดนผู้ดี ทั้ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ แต่ผู้คนอาจจำความผิดพลาดได้มากว่า เพราะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนั้น กระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยการแพ้กฎประตูทีมเยือนให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

จากนั้นในแต่ละปี ต่อให้ แมนฯ ซิตี้ จะผิดหวังจาก ยูซีแอล แต่พวกเขาจะมีแชมป์ติดมือ ได้เฉลิมฉลองทุกซีซั่น บางทีก็แชมป์ลีก บางทีก็คว้าดับเบิ้ลแชมป์ เรียกว่า 4-5 ปีหลัง ไม่มีจบฤดูกาลแบบมือเปล่า

อย่างไรก็ตาม ฤดูกาล 2022-23 ลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีลุ้นทำทริปเปิ้ลแชมป์อีกครั้ง ในรอบ 4 ปี แต่ว่าฤดูกาลนี้มันจะยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะ 3 แชมป์ที่ว่านั้น มันมี ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมอยู่ด้วย หลังจากก แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปแล้ว ก็จะเหลือ เอฟเอ คัพ อีกรายการ ซึ่งหากทำได้สำเร็จ มันจะเทียบเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดตำนาน ปี 1999

เรียกว่าตอนนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เริ่มมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนนักเตะแล้ว เพื่อกักเก็บพลังนักเตะไว้ฟาดแข้งนัดชิงดำ เอฟเอ คัพ เจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ยูซีแอล ที่ต้องปะทะ อินเตอร์ มิลาน

3. แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้มีแค่
เดอ บรอยน์ และ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์

ด้วยผลงานอันสุดยอด นักเตะที่ฉายแวว จนแฟนบอลทั่วโลก ต้องอ้าปากค้าง คงหนีไม่พ้น เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กองหน้าตัวบัค ที่ทำลายกำแพงความยาก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปจนหมดสิ้น ล่าสุดก็สร้างสถิติขึ้นใหม่ ด้วยการยิงไปแล้ว 36 ประตู ทั้งๆที่ยังเหลืออีก 3 เกม แซงหน้าตำนาน อลัน เชียเรอร์ และ แอนดี้ โคล ที่เคยทำไว้ 34 ประตู สมัยยุคที่แข่งขันระบบ 42 เกมต่อฤดูกาล ด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าคนที่ทำให้ ฮาแลนด์ ฮอตปรอทแตกขนาดนี้ ส่วนสำคัญก็มาจาก เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ เท้าชั่งทอง ที่จ่ายให้กับใคู่หูรายนี้ยิงเป็นประจำ ปัจจุบัน เคดีบี นำโด่งในตารางแอสซิสต์คนเดียวโดดๆ ถึง 16 ครั้ง เข้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้มีแค่ 2 คนนี้ เท่านั้น เพราะผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ของพวกเขา แทบจะทำหน้าที่เกมรุกได้ทั้งหมด ดูอย่างเกมถล่ม เรอัล มาดริด ง่ายๆเลยครับ เป๊ป หยิบจับทำอะไรก็ดูดีไปหมด

อย่าง แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่ไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงมาเลย 5 นัด ก่อนพบกับ ราชันชุดขาว แต่พอได้ลงเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ระเบิดฟอร์มซัดใส่ มาดริด 2 ตุงทันที วันไหนที่เลือกดรอป เควิน เดอ บรอยน์ เป็นสำรอง คนที่ก้าวขึ้นมาเป็นจอมทัพ และ ทำประตูให้ทีมอยู่เสมอ คนนั้นจะเป็น อิลคาย กุนโดกัน ซึ่งวันบุกไปถล่ม เอฟเวอร์ตัน 3-0 ก็มีลีลาดีดลูกหลัง และ ฟรีคิกอันเฉียบคม

นอกจากนี้ แจ็ค กรีลิช กำลังจัดจ้านสะท้านโลกา, โรดรี้ คุมเกม ตัดเกม แบบไร้ที่ติ ขนาด จอห์น สโตน เซ็นเตอร์แบ็ก ยังเติมขึ้นมาช่วยเกมรุก จนนึกว่าเป็นมิดฟิลด์ เรียกว่าชั่วโมงนี้นักเตะ แมนฯ ซิตี้ ก๋ากั่นทุกตัว ด้วยเพราะแท็คติคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เดินหน้าฆ่ามัน ครองบอลบุกแบบไม่ให้คู่แข่งหายใจ กำลังทำให้พวกเขาเป็นยอดทีมเบอร์ 1 ของโลกในขณะนี้

ต้องไม่ลืมอีกว่า ในขุมแผงม้านั่งที่ไม่ได้เอ่ยชื่อถึง ยังมีทั้ง ฟิล โฟเด้น, ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ หรือ ริยาด มาห์เรซ ที่ก็ได้ลงตัวจริงสม่ำเสมอ ยังสามารถลงมาเปลี่ยนแปลงเกมได้ทั้งนั้น นับว่าเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่ง ยากที่ใครจะเผชิญหน้าจริงๆในซีซั่นนี้ 

4. ประสบการณ์โชกโชน ทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง

เห็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ แต่พวกเขาก็ผิดหวังมานับครั้งไม่ถ้วน และ ความผิดหวังเหล่านั้น ก็นำมันกลับมาปรับปรุงและแก้ไข เพื่อทำทุกอย่างให้ดีกว่าเดิม 

ดูอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่เคยโดน อาร์เซน่อล ทำแต้มห่างไปถึง 8 แต้ม ช่วงราวๆต้นปี 2023 แต่ก็กลับสู่เส้นทางของตัวเอง และ กำลังแซงหน้าเป้าเป็นแชมป์อีกครั้ง หรือ การเคยโดน เรอัล มาดริด เขี่ยตกรอบตัดเชือก ยูซีแอล แบบช็อคโลก หลังโดนยิงนาที 90 ถึง 2 ลูก ก่อนจะไปแพ้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

แต่คราวนี้ แมนฯ ซิตี้ ไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว บทเรียนอันบอบช้ำ สอนให้พวกเขาแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก เหมือนอย่างที่พวกเขาแก้แค้น เรอัล มาดริด แบบไม่ให้กลับมาสู่เกมได้เลย

ใครที่ได้ดูถ่ายทอดสด ตลอด 90 นาที เกมที่ เรือใบ ถล่ม ราชันชุดขาว ราบคาบ จะเห็นเลยว่าพวกเขาแข็งแกร่งทั่วแผ่น แทบไม่มีจุดบอดให้เห็น หรือ เล่นงานได้เลย ซึ่งนอกจากฝีมือการคุมทีมของ เป๊ป, ฝีเท้าอันยอดเยี่ยมของนักเตะ, แท็คติคที่ดุดัน บวกกับทีมเวิร์คที่เล่นเหมือนมองตาก็รู้ใจ ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ชุดนี้ โหดเหี้ยมเหนือคำบรรยายจริงๆ

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline