logo-heading

ซึ่งเกมนี้ ปีศาจแดง ส่งกองแช่งไปนอนตั้งแต่ 6 นาทีแรก เพราะขึ้นนำ เชลซี อย่างรวดเร็ว จากนั้นสกอร์ก็ไหลมาเทมา ชนิดที่น่ายิงเยอะกว่า 4 ลูก ด้วยซ้ำ แต่จริงๆแล้วเกมนี้ สิงห์บลูส์ ก็มีโอกาสเยอะเช่นกัน แต่ไม่คมกันเอง แถมเกมรับก็ห่วยแตกไม่เลิก ทำผิดพลาดอยู่บ่อยๆ จนเสียประตู นับเป็นซีซั่นที่แย่จริงๆ

เกมนี้ มีหลายประเด็นให้พูดถึง ซึ่งฝั่งผู้ชนะก็ยิ้มแย้ม เพิ่มเติมความมั่นใจ แต่ก็มีเรื่องให้กังวลอยู่ไม่น้อย ขณะที่ เชลซี มีแต่สถิติแย่ๆตอกย้ำให้แฟนบอลต้องปวดหัว จะเป็นเรื่องอะไรบ้าง ไปติดตามกันเลยครับ

- แมนฯ ยูไนเต็ด ปิดจ็อบคว้าตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะออกสตาร์ทเกมนี้ไม่ค่อยดีนัก มีช็อตปล่อยให้นักเตะ เชลซี ได้มีโอกาสยิงอยู่ 1-2 ครั้ง ทำให้แฟนบอลขาประจำ และ ขาจรที่ยกพลมาจากเมืองเมอร์ซี่ย์ ไซด์ พอได้มีลุ้นแบบกรุบกริบ กับโอกาสหวังมาบุกชนะที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อยู่บ้าง

แต่กระนั้น ปีศาจแดง ก็ทำให้แฟนบอลเหล่านั้น ปิดไฟนอนแต่หัววัน หลังได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่ 6 นาทีแรก ก่อนจะมายิงรัวๆอีก 3 ประตู นำ 4 ลูก ก่อนมาโดนตีไข่แตก จากชัยชนะในนัดนี้ ก็ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตีตั๋วติดท็อปโฟร์ ผ่านเข้าไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้า เรียบร้อยแล้ว พร้อมผลักไส ลิเวอร์พูล คู่อริร่วมลีก ให้ไปเล่นแค่ ยูโรปา ลีก เท่านั้น

ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด 2 นัด ขอแค่ 1 แต้มอย่างน้อย ก็ไม่มีล็อคถล่มเกิดขึ้น เพราะผลงานที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป็นของขึ้นชื่อสำหรับ เอริค เทน ฮาก อยู่แล้ว เพราะนับตั้งแต่แพ้ ไบรท์ตัน คาบ้าน 1-2 นัดออกสตาร์ทซีซั่น หลังจากนั้นพวกเขาก็ชนะได้ถึง 25 นัด และ หลุดเสมอแค่ 4 นัด ล่าสุดคือชนะ เชลซี 4-1 ปิดจ็อบจบท็อปโฟร์ได้สำเร็จ

และ 4 ประตูที่ทำได้ในเกมนี้ จาก คาเซมิโร่, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล, บรูโน่ แฟร์นานเดส และ มาร์คัส แรชฟอร์ด คงจะเรียกความมั่นใจได้เยอะพอสมควร ก่อนจะไปลุ้นดับเบิ้ลแชมป์ เจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึก เอฟเอ คัพ สัปดาห์หน้า

- คาเซมิโร่ MVP

ถึงแม้ว่า แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้ แฟนบอลจะโหวตให้กับ บรูโน่ มากที่สุด แต่ในสายตา คาเซมิโร่ มิดฟิลด์ตัวรับ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นเหลือเกิน ทั้งการยิงประตู และ มีเป็นเซ็ตบอลเริ่มต้นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงประตูที่ 2 ใส่ เชลซี

ประตูแรกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ มาจากฟรีคิกโยนยาวของ คริสเตียน อีริคเซ่น เปิดครอสเข้ามาในกรอบเขตโทษ ก่อนจะเป็น คาเซมิโร่ โหม่งเข้าไปตุงตาข่าย แต่ผลงานที่ต้องร้อง "ว้าว" คือประตูที่สอง ที่ซัดใส่ เชลซี นี่แหละครับ

เพราะ คาเซมิโร่ ได้โชว์ช็อตจ่ายบอลแบบ " โน ลุค พาส" หลอกกองหลัง เชลซี ด้วยสายตา ไปให้กับ จาดอน ซานโช่ ที่ยืนโล่งอยู่ในกรอบเขตโทษ ก่อนจะปาดไปให้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ได้ยิงขึ้นนำ 2-0 แบบสบายๆ เรียกว่าประตูนี้ต้องให้เครดิตกับ "คาเซมิโร่" จริงๆ

แต่ไม่ใช่แค่ คาเซมิโร่ จะเด่นแค่เกมรุก แต่เกมรับก็ทำหน้าที่ไม่เคยขาด เขาไล่ตัดบอลพวกตัวรุก เชลซี ได้อยู่ตลอด เรียกว่าเซ้นส์การอ่านบอล และ ประสบการณ์บนเวทีลูกหนังนั้นดีเหลือเกิน นับเป็นผลงานระดับ "มาสเตอร์พีซ" จริงๆ

- ข่าวร้ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด

ถึงแม้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะปิดจ็อบคว้าตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ถีบส่ง ลิเวอร์พูล หล่นไปเล่น ยูโรปา ลีก ได้สำเร็จ แต่กระนั้นก็ต้องแลกมาซึ่งข่าวร้าย เมื่อชัยชนะในแมตช์นี้ ต้องสังเวย อันโตนี่ เดอะ หมุน ของสาวก เร้ด เดวิลส์

เนื่องจาก อันโตนี่ บาดเจ็บหนักบริเวณข้อเท้า จากการปะทะกับผู้เล่น เชลซี ในช่วงครึ่งแรก ถึงขั้นที่เล่นต่อไม่ไหว ต้องโดนหามเปลออกจากสนาม ตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแรกของเกมเลยด้วยซ้ำ

ต่อให้ เอริค เทน ฮาก จะมีผู้เล่นแนวรุกให้หยิบใช้สนุกมือ แต่ อันโตนี่ ถือว่าเป็นตัวหลัก ที่ได้รับโอกาสลงสนามมาตลอด และ จากการโดนหามเปล เชื่อว่าอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่ไม่น้อย ซึ่งต้องไม่ลืมว่าสัปดาห์หน้า ปีศาจแดง มีคิวเตะนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ดังนั้นการขาด อันโตนี่ ไป ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน อย่างน้อยทั้งสไตล์การเล่น และ ความจี๊ดจ๊าดของเขา อาจจะสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับ เรือใบสีฟ้า ได้ไม่น้อย ต้องมารอดูกันว่า อันโตนี่ จะเจ็บหนักขนาดไหน และ พักนานเท่าใด แต่ดูจากการถูกหามเปลแล้ว คงไม่ทันนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ แน่ๆ

ส่วนอีกเรื่อง ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะกังวลใจเล็กๆ เมื่อ ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายตัวหลัก ซึ่งถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามในช่วงพักครึ่ง มีรายงานว่า ได้รับบาดเจ็บที่หลังเล็กน้อย ทำให้ เอริค เทน ฮาก ตัดสินใจถอดออก และ ส่ง ไทเรลล์ มาลาเซีย มาแทนทันที ต้องรออัพเดตอาการอีกครั้ง แต่เชื่อว่าน่าจะพร้อมเจอกับ แมนฯ ซิตี้ 

- เชลซี ที่แย่ที่สุดในรอบหลายสิบปี

นับตั้งแต่ที่ เสี่ยหมี โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์ แทบไม่เคยเห็น เชลซี ตกต่ำได้ขนาดนี้มาก่อน เพราะพวกเขาคือยักษ์ใหญ่ ที่ผงาดคว้าแชมป์สำคัญๆ มาอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, เอฟเอ คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย

แต่กระนั้นหลังจากเปลี่ยนเจ้าของมาเป็น ท็อดด์ โบห์ลี่ ทุกอย่างก็ "สาละวันเตี้ยลง" .. "สิงโตน้ำเงินคราม" ที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร กลายเป็น "แมวเหมียว" ที่พร้อมโดนทุกทีมมาขย้ำ ต่อให้ปลด เกรแฮม พ็อตเตอร์ ออกไปแล้ว แต่การเอา แฟร้งค์ แลมพาร์ด เข้ามาขัดตาทัพ มันแย่ยิ่งกว่าเดิม

เพราะ แลมพาร์ด ออกสตาร์ทคุมทีม เชลซี ด้วยการแพ้ 6 นัดรวดทุกรายการ แบ่งเป็นแพ้ 4 นัดในลีก เป็นผลงานที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร 118 ปี โดย 10 นัดทุกรายการ แลมพาร์ด พาทีมชนะแค่ 1 เกม, เสมอ 1 เกม และ แพ้ถึง 8 เกม มีเปอร์เซ็นต์ชนะแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น โดยยิงได้แค่ 8 ลูก เสียถึง 20 ประตู 

แต่มันก็ไม่ควรโทษ แลมพาร์ด หรือ ฝ่ายบอร์ดบริหารเท่านั้น เพราะนักเตะก็ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆเช่นกัน เพราะนัดแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-4 นี่ชัดเจนเลยว่า เกมรุกก็ไม่คม เกมรับก็ห่วยแตก ถ้าไม่มี เกปา ช่วยเซฟ อาจจะเละกว่านี้ไปแล้ว เรียกว่ามาส่ง ปีศาจแดง ไปเล่น ยูซีแอล แบบเต็มตัว

อย่างช่วงต้นเกม มิไคโล มูดริค ได้ยิงจ่อๆ ก็แปพลาด มีโอกาสหลายครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้ ส่วนเกมรับ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า กองหลังของทีม ก็เล่นไม่สมค่าตัว 70 ล้านปอนด์ ทำผิดพลาดจนทีมเสีย 2 ประตู ถึง 2 ครั้ง ดูจะมีแต่ เอ็นโซ่ แฟร์นานเดซ เท่านั้น ที่เล่นได้เข้าตา

นี่คือ เชลซี ที่แย่ที่สุดในรอบหลาย 10 ปี นักเตะหลายๆคนเหมือนเล่นรอให้ซีซั่นนี้ผ่านพ้นไป ดูจะหมดแพสชั่น หมดความกระตือรือร้น จนพ่ายแบบย่อยยับ ยังดีที่มี เจา เฟลิกซ์ มายิงแก้เขินให้ 1 ลูก ดังนั้นซัมเมอร์นี้คงเป็นการบ้านชิ้นใหญ่ สำหรับบอร์ดบริหาร และ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ว่าที่กุนซือคนใหม่ สิงห์บลูส์ จะบูรณะซากปรักหักพัง ให้กลับมาดีแบบเดิมได้อย่างไร

ฮาย ฮาวดี้
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline