แต่เหตุใดไอรางวัล ลูกบอลทองคำ นี้ ยังคงถูกมองว่าเป็นรางวัลส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอล โดยเฉพาะเห็นได้จาก เมื่อยิ่งเข้าใกล้การประกาศรางวัลเท่าไหร่ ไม่ว่าจะสื่อ, แฟนบอล กระทั่งตัวเราเอง จะให้ความสนใจกับรางวัลส่วนตัวนี้มากที่สุด
บางทีภาพลักษณ์โดยรวมของรางวัลนี้ มันก็เปรียบเหมือนอะไรสักอย่าง ที่มีรอยร้างหรือจุดด่างดำ แต่มัน ก็กลับมีจุดสว่างแวววับโดดเด่น เป็นที่ต้องสายตาอยู่เสมอ
ดังนั้น เข้าเรื่องของเราวันนี้ ขอบสนาม อินไซด์ จะขอไปอธิบายสาเหตุ ว่าทำไมรางวัลที่เจอเรื่องฉาวมาคณานับอย่าง บัลลงดอร์ ยังคงมีสถานะเป็นรางวัลส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลูกหนังเสมอมา แบบไม่มีเปลี่ยนแปลงครับ …
หนึ่ง. ความขลัง นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่อยู่กับโลกฟุตบอลมาตลอด หากสิ่งใดขาด หรือไม่มีความขลังไป ก็มักจะไม่ได้เป็นจุดสนใจเท่ากับสิ่งที่มีความขลัง หรือที่มีมาก่อนนั่นเอง
ยกตัวอย่าง ไม่ว่าจะฟุตบอลรายการใหม่ ๆ อย่าง ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ที่ไม่ได้ถูกจัดความสำคัญในโซนประาสาทแฟนบอล ให้ใกล้เคียงกับ บอลโลก, ยูโร, โคปา และบอลรายการทวีปอื่น ๆ เลย
หรือแนวคิดอะไรใหม่ ๆ ที่เคยมี อย่าง ซูเปอร์ ลีก ก็ไม่ได้สู้ได้กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลย โดยเฉพาะจากมุมของนักฟุตบอลที่เขาเคยเฝ้าเห็นความขลังของรายการ UCL มาตั้งแต่ยังเด็ก
เช่นเดียวกับ บัลลงดอร์ ครับ นี่เป็นหนึ่งในรางวัลส่วนตัวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกฟุตบอล กำเนิดขึ้นโดยนิตยสารฝรั่งเศส ฟร้องค์ ฟุตบอล ตั้งแต่ปี 1956
ก่อนมีการขยายให้นักเตะทุกสัญชาติที่ค้าแข้งในยุโรป มีสิทธิ์รับรางวัลตั้งแต่ปี 1995 ก่อนจะกลายมาเป็นรางวัลระดับโลกเต็มตัวในปี 2007 หลังให้สิทธิ์เหล่านักค้าแข้งทั่วโลกมีโอกาสในรางวัลนี้ เพราะฉะนั้นจากจุดนั้นมาถึงจุดนี้ ยืนระยะ 67 ปี ความขลัง ไม่ต้องพูดถึงครับ สำหรับ ลูกบอลทองคำ
สอง. ความเป็นตำนาน เราเชื่อนะครับว่าในอดีต แฟนบอลอย่างเรา ๆ บางคน เมื่ออยากศึกษาเรื่องนักเตะในตำนาน ก็จะมีไปไล่รายชื่อหาประวัติ จากอดีตนักเตะที่เคยได้ บัลลงดอร์
ก็จะไปเจอ อาทิ โยฮัน ครัฟฟ์, มิเชล พลาตินี่, โรแบร์โต้ บาจโจ้, โรนัลโด้ R9, ซีเนดีน ซีดาน หรือ โรนัลดินโญ่ ที่คือระดับโคตรฝีเท้าโลกลูกหนังไม่ลืมไม่ทั้งนั้น
และในขณะเดียวกัน นักฟุตบอลอาชีพในปัจจุบัน พูดได้เลยแทบทุกคน ต้องเคยมีความฝันอยากเป็นตำนาน อยากเป็นที่กล่าวขาน และได้มีสถานะ ไปยืนเคียงข้างกับเหล่าตำนานที่พวกเขาเคยได้ดูในอดีต
และการคว้า บัลลงดอร์ ก็คือหนึ่งในจุดสำคัญ ที่จะทำให้เขาเหล่านี้ได้มีประวัติศาสตร์ร่วมกับเหล่าตำนาน ในรางวัล ระดับรายการเดียวกัน
ฉะนั้นไม่แปลกด้วยความเป็นตำนาน ทำให้เราได้เห็นนักฟุตบอลมากมาย ยอมรับว่า บัลลงดอร์ คือความฝันของพวกเขา อย่างเจ้าของรางวัลคนล่าสุด คาริม เบนเซม่า อธิบายว่าการได้ ลูกบอลทองคำ สำหรับเขาคือฝันที่เป็นจริง
หรือจะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ไม่เคยปกปิดปรารถนาอันแรงกล้า ว่าต้องการซิว บัลลงดอร์ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หรือแม้แต่คนที่ปัจจุบันและคนเดียว ที่ดูจะไม่ได้สนรางวัลนี้สักเท่าไหร่ ลิโอเนล เมสซี่ ก็ยังเคยกล่าวว่า เกินฝัน เมื่อตอนปีที่เขาคว้ามันเป็นครั้งที่ 5
ส่วนนักฟุตบอลคนอื่น ๆ ที่ไม่เคยได้ย่อมยิ่งใฝ่ฝัน และเคยแน่นอน อย่าง ซน ฮึง-มิน และ จอร์จินโญ่ พูดไปแนวทางเดียวกัน ว่าไม่ว่าใครก็ฝันถึงมัน เพราะเมื่อเป็นความฝันคุณก็จะฝันให้ยิ่งกว่าคำว่าใหญ่ ถูกไหมครับ ?
จะเห็นได้ว่าบางที บัลลงดอร์ กลายเป็นเสมือนกับสัญลักษณ์ ของหนึ่งในจุดสูงสุดของนักฟุตบอลอาชีพเลยล่ะครับ
สาม. ทำไมเจอเรื่องฉาว แต่รางวัลนี้ก็ยังฆ่าไม่ตาย อันดับแรกที่เราต้องบอกก่อน คือปัญหาดราม่าของรางวัลนี้ส่วนใหญ่ มาจากตอนช่วงที่ ฟีฟ่า เข้ามาควบรวมแจกรางวัลด้วย ช่วงระหว่างปี 2010-2015 ที่ใช้ชื่อว่า ฟีฟ่า บัลลงดอร์
มันมีการปรับเปลี่ยนการลงคะแนนให้รางวัล จากที่แต่ก่อน บัลลงดอร์ นับเฉพาะเสียงจากเหล่านักข่าวทั่วโลกที่คัดมา กลายเป็นว่ามีเหล่าโค้ช และกัปตันทีมชาติมาร่วมโหวตลงคะแนนด้วย
ตัวอย่างที่เด่น ๆ หากนับเฉพาะการโหวตจากนักข่าวนะครับ ในปี 2010 สไนจ์เดอร์ ผู้คว้าทริปเปิ้ลแชมป์กับ อินเตอร์ และรองแชมป์โลกกับ เนเธอร์แลนด์ จะเป็นผู้ชนะแทน เมสซี่ หรือในปี 2014 ริเบรี่ ที่คว้า 5 แชมป์กับ บาเยิร์น จะเป็นผู้ชนะแทน โรนัลโด้
แต่เมื่อต้องนำคะแนนมาร่วมกับการโหวตจากเหล่าโค้ช และกัปตันทีมชาติ กลายเป็น เมสซี่ และ โรนัลโด้ คว้ามันไปแทนอย่างที่เราได้เห็นกัน
คนจึงบอกว่าการโหวตด้วยเหล่าโค้ชและกัปตันมันดูไม่เมคเซนส์ เพราะพวกเขาเหล่านี้มักจะเลือกคนกันเอง อย่างเพื่อนร่วมชาติหรือสโมสร ไม่ก็คนดัง ๆ ที่รู้จัก
ฉะนั้นหลังจาก บัลลงดอร์ ได้แยกกับ ฟีฟ่า และกลับมาทำเดี่ยว ๆ พวกเขาจึงกลับไปใช้การโหวตเฉพาะจากนักข่าวอีกครั้ง จนเรื่องดราม่าเริ่มน้อยลง
แต่ ๆ ประเด็นเรื่องไม่จัดรางวัลในปี 2020 เพราะโควิด ก็ยังถือว่ายังเป็นเรื่องที่เราไม่เห็นด้วยนะครับ เพราะรู้สึกเห็นใจ เลวานดอฟสกี้ ที่นอนมาหากมีในปีนั้นจริง ๆ
โดยรวมแล้ว จะเห็นได้ว่า แม้ บัลลงดอร์ จะมีหลายประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ด้วยชื่อเสียงจากความขลัง, ความเป็นตำนาน จนเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ทำให้มันยังคงสถานะ เป็นรางวัลส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอล ไม่มีเปลี่ยนแปลง
ก็ถ้าพูดถึงในระดับทีมชาติ ฟุตบอลโลก คือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในระดับสโมสร ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และเช่นกันในระดับรางวัลส่วนส่วนบุคคลของนักเตะ ก็ต้องเป็น บัลลงดอร์ เนี่ยแหละครับ.