logo-heading

สาเหตุหลักๆ มาจากที่ทัพ “ปีศาจแดง” ต้องเสียแบ็คซ้ายตัวหลักอย่าง ลุค ชอว์ ไป ทำให้พวกเขาต้องเร่งภารกิจตามหาแข้งคนใหม่เข้ามาทดแทน ก่อนที่หวยจะมาออกที่ มาร์ค คูคูเรย่า ฟูลแบ็คของ เชลซี

ซึ่งในวันนี้เราจะไปวิเคราะห์กันว่าทำไมสุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงเลือก คูคูเรย่า เข้าสู่ทีม ทั้งที่มีเชื่อมโยงกับฟูลแบ็คหลายคน

แบ็คซ้ายขาดหาย

อย่างที่เราทราบกันว่าตอนนี้พื้นที่แบ็คซ้ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะ ลุค ชอว์ ได้รับบาดเจ็บต้องพักยาวราว 2 เดือน ส่วน ไทเรลล์ มาลาเซีย ก็ยังคงอยู่ในช่วงรักษาอาการเจ็บเช่นเดียวกัน

ฉะนั้นเราจึงได้เห็น เอริค เทน ฮาก ฝ่าทางตันด้วยการโยก ดิโอโก้ ดาโลต์ ไปยืนชั่วคราวในเกมที่พบกับ ฟอเรสต์ ซึ่งภาพที่ออกมาต้องยอมรับว่าผลงานน่าผิดหวัง โดนเจาะอยู่เรื่อยๆ และไม่อาจหยุดคู่แข่งได้เท่าไหร่นัก

ซึ่งมันเลยกลายเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ทีมต้องหาแบ็คซ้ายอาชีพเข้ามาเสริมทีมก่อนตลาดนักเตะจะปิดตัวลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

เราจึงได้เห็นลิสต์รายชื่อแข้งในตำแหน่งดังกล่าวเยอะเหลือเกินในช่วงที่ผ่านมากับข่าวที่ถูกเชื่อมโยงกับทัพ “ปีศาจแดง“ ทั้ง มาร์กอส อลอนโซ่, เซร์คิโอ เรกีลอน,ไรอัน เบอร์ทรานด์ หรือ มาร์ค คูคูเรย่า

ทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงเลือก คูคูเรย่า มาร่วมทีม ?

ทำไมต้อง คูคูเรย่า ?

ประการแรกเลยคือตอนนี้แบ็คซ้ายเหมือนกลายเป็นปักหมุดแรกๆ ที่ทีมต้องการแต่งเติมเข้ามา แซงหน้าตำแหน่งกองกลางไปแล้วทั้งที่มีข่าวเชื่อมโยงกับทั้ง โซฟียาน อัมราบัต หรือ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก

และถ้าสอดสายตาไปยังตัวเลือกในลิสต์ที่มีข่าวเชื่อมโยงกับ แมนฯ ยูไนเต็ด จะเห็นถึงความยากง่ายในแต่ละดีลที่แตกต่างกันออกไป

อย่างในเคสของ มาร์กอส อลอนโซ่ นักเตะค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการอยู่กับ บาร์เซโลน่า ต่อไป ไม่มีแผนโยกย้ายกลับมายัง พรีเมียร์ลีก หรือในรายของ เรกีลอน ที่ไม่ได้ดูคืบหน้าไปกว่าดีลอื่นๆ แม้ตัวนักเตะจะเคยตกเป็นเป้าหมายของทีมมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม

ส่วน ไรอัน เบอร์ทรานด์ ต้องยอมรับตามตรงว่าด้วยอาการบาดเจ็บ และร้างสนามไปตั้งแต่ปี 2021 ทำให้เสี่ยงไปหน่อยในการที่ทีมต้องการนักเตะที่เข้ามา และสามารถใช้งานได้เลย

หรือ เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า ที่มีข่าวโยงเข้าหา มองแล้วโอกาสที่ โรม่า จะปล่อยตัวออกมาถือว่ายากเอาการ เพราะนี่คือขุมกำลังสำคัญของทีม และพวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องปล่อยออกมาด้วย

ฉะนั้นแล้วเมื่อกลับมามองที่ดีลกับ คูคูเรย่า จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนักเตะเป็นตัวเลือกสำรองของทีม ยังไม่ได้ลงสนามเลยสักวินาทีในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ แถมตอนนี้เหมือนเป็นทางเลือกอันดับ 3 รองจาก เอียน มัตเซน อีก 

ทำให้ไม่แปลกที่เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจ นักเตะจะอยากย้ายออกจาก เชลซี เพราะอย่างน้อยโอกาสลงเล่นย่อมมีมากกว่าเดิม

ทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงเลือก คูคูเรย่า มาร่วมทีม ?

ยืมตัว ไม่ใช่ซื้อขาด

สิ่งที่ค่อนข้างชัดเจนในดีลของ คูคูเรย่า คือการที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการยืมตัวมาแก้ขัดในสถานการณ์ที่แบ็คซ้ายนัดกันเข้าโรงหมดเพียงเท่านั้น

แน่นอนนี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าทีมยังไม่ได้มีแผนคว้าตัวแข้งรายนี้มาร่วมทีมแบบถาวร เพราะจากข่าวที่ออกมาไม่ได้พ่วงออปชั่นซื้อขาดแต่อย่างใด และถ้ามองจากสถานการณ์ของ เชลซี ที่คว้าตัวมาร่วมทีมด้วยมูลค่าที่สูงถึง 55 ล้านปอนด์ คงไม่ปล่อยออกมาในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมเท่าไหร่นัก

ฉะนั้นหมากการเดินเกมในตอนนี้ ยูไนเต็ด ต้องการแก้ปัญหาในระยะสั้นไปก่อน อย่างน้อยการได้ คูคูเรย่า เข้ามาเป็นทางเลือกนอกจาก ชอว์ กับ มาลาเซีย ย่อมดีกว่า เพราะก็ไม่อาจรู้ได้ว่าทั้งสองคนนั้นจะมีอาการบาดเจ็บกำเริบขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไหร่

สิ่งที่ คูคูเรย่า จะให้ แมนยูฯ

หากโฟกัสที่ผลงานของ คูคูเรย่า ในยูนิฟอร์มของ เชลซี ต้องยอมรับว่าฟอร์มส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอะไรน่าประทับใจ หรืออยู่ในความทรงจำมากเท่าไหร่นัก โอเคแหละว่ามีเกมที่ดี ผลงานโดดเด่น แต่ก็ไม่อาจรักษามาตรฐานเอาไว้ได้เลย

ทว่าถ้ามองไปที่ผลงานสมัยอยู่กับ ไบรท์ตัน ต้องบอกเลยว่าเขาคือหนึ่งในแบ็คซ้ายที่ผลงานดีเบอร์ต้นๆ ของพรีเมียร์ลีกเลยก็ว่าได้

ด้วยจุดเด่นของ คูคูเรย่า เป็นฟูลแบ็คจำพวกไปกับบอลได้ดี แถมมีลูกจ่าย “คีย์พาส” แจ่มๆ อยู่หลายหน ซึ่งในช่วงฤดูกาล 2021-22 เขามีการจ่ายบอลในลักษณะนี้เป็นรองเพียง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ รีซ เจมส์ เพียงสองรายเท่านั้น

ส่วนเรื่องการเปิดบอลเจ้าตัวถือว่าเป็นฟูลแบ็คที่เติมขึ้นไปได้ครอสบอลอยู่หลายครั้ง แต่ว่ากันตามสถิติความแม่นยำคงต้องปรับจูนกันอีกสักนิด และยิ่งถ้า แมนฯ ยูไนเต็ด มีกองหน้าตัวเป้าที่ตัวใหญ่อย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ อีก น่าสนใจถ้าสามารถจูนกันติดในเรื่องลูกกลางอากาศ

คราวนี้มามองเรื่องน่าห่วงคือเรื่องของเกมรับ ใช่ว่ากับ ไบรท์ตัน ผลงานดี แต่กับ เชลซี เมื่อฤดูกาลที่แล้วต้องยอมรับว่าน่าผิดหวัง โดยเฉพาะจังหวะแท็คเคิลที่เอาชนะคู่แข่งได้เพียง 50% เท่านั้น แต่เรื่องของการดวลกับคู่แข่งถือว่าเป็นไปในทิศทางบวกผลชนะ กับแพ้ คือ 108 กับ 71 ครั้ง ตามลำดับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบางทีกับสโมสรเก่าผลงานอาจจะไม่ดี แต่พอเปลี่ยนสีเสื้ออาจกลับเข้าสู่ฟอร์มอันเฉิดฉายก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องนี้เราไม่อาจรู้ได้จนกว่านักเตะได้จะลงไปโชว์ในสนาม

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline