เพราะขุนพล "ซามูไร บลูส์" กำลังโชว์ฟอร์มสะท้านไปทั่วทั้งปฐพี จากการถล่มเอาชนะ เยอรมัน 4-1 และ ล่าสุดก็ดาหน้าซัดต ตุรกี ไปได้อีกด้วยสกอร์ 4-2
ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ญี่ปุ่น ทำให้เห็นแล้วว่า ต่อให้พวกเขาจะเป็นทีมพวกทวีปเอเชีย แต่ก็พร้อมเผชิญหน้าไม่ว่าคู่แข่งทีมไหนจะเป็นใคร 4 นัดหลังสุดที่ ญี่ปุ่น ลงเล่นเกมอุ่นเครื่อง ยิงไปทั้งสิ้น 18 ประตู เสียแค่ 4 ลูก เท่านั้น โดยอีก 2 เกมคือถล่ม เอล ซัลวาดอร์ 6-0 และ ถล่ม เปรู 4-1
ผลงานเช่นนี้ ญี่ปุ่น ได้วางรากฐานมาแล้วนานแล้ว ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า ‘DREAM’ โปรเจ็คท์นี้คือ ญี่ปุ่น คิดการใหญ่ ด้วยการตั้งเป้าเป็นแชมป์ ฟุตบอลโลก 2050 !! โปรเจ็คท์นี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน และ มันต้องจับตามองมากเพียงใด เดี๋ยวจะพาไปเล่นถึงความยอดเยี่ยมของทัพ ซามูไร ที่กำลังกู่ก้องไปทั่วโลก
โปรเจ็ทค์ "ดรีม" ที่ตั้งเป้าถึงการคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2050 มันเป็นแผนงานที่ ญี่ปุ่น ตั้งเอาไว้ล่วงหน้าถึง 45 ปี นั่นหมายความว่า ญี่ปุ่น ผุดแคมเปญนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2005 แล้ว
หากให้สรุปแบบสั้นๆ ไม่ต้องยืดยาว โปรเจ็คท์ "ดรีม" คือแผนงานที่ ญี่ปุ่น ต้องการพัฒนาเรื่องฟุตบอลไปสู่ระดับโลก ไม่ใช่ทีมชาติชุดใหญ่ แต่มันต้องไปควบคู่กัน ทั้งโค้ช สมาคม การทำธุรกิจ และ การวางรากฐานจากฟุตบอลระดับรากหญ้า ซึ่งจะมีการวางลำดับชัดเจน ว่าอะไรสำคัญ อะไรต้องทำก่อนหลัง โดยจะมีการปรับเปลี่ยนรีวิวแผนในทุกปี
ภายใต้แคมเปญ "ดรีม" ญี่ปุ่น ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่า ฟุตบอลโลก 2022 ต้องเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย และ เวิลด์ คัพ 2030 จะต้องผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ให้จงได้ น่าเสียดายที่ขุนพล ซามูไร หยุดอยู่เพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เท่านั้น ด้วยการแพ้จุดโทษต่อ โครเอเชีย หลังเสมอกันในเวลา 1-1
แต่ เวิลด์ คัพ ครั้งนั้น ญี่ปุ่น หักปากกาเซียน ด้วยการผ่านเข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม ด้วยการเบียด สเปน ตกไปอยู่ที่ 2 หลังสร้างเซอร์ไพรส์เอาชนะได้ 2-1 พร้อมกับเขี่ย เยอรมัน อีกหนึ่งชาติเต็งแชมป์ ตกรอบแบ่งกลุ่ม ไปแบบตะลึงกันทั่วโลก ซึ่ง ญี่ปุ่น สร้างผลงานที่โลกต้องกล่าวขาน เพราะพลิกแซงกลับมาชนะได้ 2-1 เช่นกัน
ถึงแม้เป้าหมายภายใต้แคมเปญโปรเจ็คท์ ดรีม จะยังไม่เป็นไปตามเป้า แต่ว่ามันพัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด และ วันที่พวกเขาย้ำแค้นเอาชนะ เยอรมัน อีกครั้ง ด้วยสกอร์ถล่มทลาย 4-1 ทำให้ผู้คนเริ่มคิดแล้วว่า "เฮ้ย หรือว่า โปรเจ็คท์ ดรีม คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2050 มันอาจจะเกิดขึ้นจริง
หากคุณไปดูไลน์อัพ 11 ผู้เล่นตัวจริงในเกมวันนั้นซิครับ ทุกตำแหน่งของผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ ต่างเล่นอยู่ในลีกชั้นนำของยุโรปทั้งนั้น มีเพียง เคสึเกะ โอซาโกะ ผู้รักษาประตู ที่เล่นอยู่ใน เจ ลีก กับ ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า
ที่เหลือนำมาโดย วาตารุ เอ็นโด กัปตันทีม ที่้เพิ่งย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล / คาโอรุ มิโตมะ ของ ไบรท์ตัน / ไดอิจิ คามาดะ ของ ลาซิโอ หรือ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ แห่งค่าย อาร์เซน่อล เป็นต้น
ขนาด ทาเคฟุสะ คุโบะ จาก เรอัล โซเซียดาด, ทาคุมะ อาซาโนะ กองหน้า โบคุ่ม หรือ เคียวโกะ ฟุรุฮาชิ ดาวซัลโวประจำทีมของ กลาสโกว เซลติค ยังมีชื่อเป็นแค่สำรอง นั่นทำให้เห็นว่า Squad Depth ของทีมชาติญี่ปุ่น นั้นแข็งแรง และ แข็งแกร่งมาก ไม่ว่าใครจะเป็นตัวจริง หรือ ตัวสำรอง มันทดแทนกันได้หมด
เกมล่าสุดที่ ญี่ปุ่น เอาชนะ ตุรกี 4-2 แทบจะเปลี่ยนตัวจริงจากเกม เยอรมัน ทั้งชุด แต่คนที่ลงมาก็โชว์ฟอร์มที่ทำให้เห็นว่าทุกอย่างมันไร้รอยต่อจริงๆ
ดังนั้น โปรเจ็ทค์ ดรีม มันไม่ใช่แค่การขายฝัน แต่มันเป็นการประกาศให้รู้ว่า ความฝันที่ได้ร่างเอาไว้ พวกเขาพูดจริง ทำจริง .. ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ ญี่ปุ่น กล้าฝันขนาดนั้น นั่นก็เพราะแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจที่ว่านั้น มันมีต้นตอมาจากมังงะอย่าง "กัปตันสึบาสะ" และ "บูลล็อค" ที่เป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนให้ ญี่ปุ่น ต้องการประสบความสำเร็จ
หากใครดู ญี่ปุ่น เป็นประจำ จะเห็นเลย ทั้งสไตล์การเล่น และ ระบบแท็คติค อยู่ในขั้นระดับโลก ภายใต้การคุมทีมของ ฮาจิเมะ โมริยาสึ มีความยืดหยุ่นมากเหลือเกิน มีไดนามิค ปรับเปลี่ยนแท็คติคตามรูปเกม และ บางครั้งมันก็มีอารมณ์คล้ายคลึงกับการ์ตูน ที่เป็นดั่งแรงบันดาลใจของพวกเขามากเหลือเกิน
เหมือนในเกมที่ ญี่ปุ่น เอาชนะ เยอรมัน 4-1 .. ข้อมูลจากเพจ เดอะ เน็กซ์ โค้ช ระบุไว้ว่า มันมีช็อตนึงที่ คูโบะ ได้สร้างสกิล Meta-Vision ที่โด่งดังจาก "บูลล็อค" ให้มันเกิดขึ้นจริงในสนาม ที่ใครเป็นแฟนมังงะเรื่องนี้ต้องตะลึงกันบ้าง เพราะสกิลนี้ คือ สกิลที่ พระเอกของเรื่อง ใช้ในการมองรอบตัว และ รับรู้สถานการณ์ต่างๆในสนามแบบละเอียดยิบ
มันเป็นจังหวะที่ คุโบะ กระชากหลุดเดี่ยวแบบโล่งๆ ชนิดที่นักเตะ เยอรมัน ยังไงก็วิ่งตามไม่ทัน เขาสามารถลากไปยิงเองก็ได้ ไม่ต้องส่งให้ใคร แต่ถ้าเราสังเกตดีๆ จะเห็นว่า คุโบะ ยังคงเหลือบมองรอบตัวเองอยู่ตลอด ภายในระยะเวลากระชากจากครึ่งสนาม คุโบะ หันมองคู่แข่ง และ มองเพื่อนร่วมทีม ถึง 7 ครั้ง ก่อนจะใจกว้างเป็นแม่น้ำ ถวายพานให้กับ ทาคุมะ อาซาโนะ ยิงประตูที่ 3 ใส่ทีมชาติเยอรมัน
เรียกว่านี่มันมีต้นแบบมาจาก มังงะ ชัดๆ เท้าเลี้ยงบอล แต่สายตามองคู่แข่งอยู่ตลอด ถ้าไม่ฝึกฝนมาดีจริง ไม่มีสมาธิ มีความกดดัน คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆที่จะทำแบบนี้ ฉะนั้นไม่แปลกใจเลยครับว่า ทำไมฟุตบอลยุโรปยุคนี้ ให้การยอมรับนักเตะเลือดซามูไร มากเป็นพิเศษ
การก้าวมาเป็นเบอร์ 1 ของเอเชีย อยู่อันดับ 20 ของโลกตาม ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง ไม่ใช่เรื่องโชคช่วย เพราะพวกเขาวางรากฐานสร้างความแข็งแกร่งมกันมานานนมแล้ว ถึงแม้ปี 2050 มันจะอีกยาวไกล แต่อย่างที่บอกครับ ญี่ปุ่น จะมีการทบทวนโครงสร้างกันอยู่ตลอด หลังจากปี 2030 ทางสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น ก็จะทบทวนเป้าหมายกันใหม่ ว่าต้องทำอะไร หรือ แก้ไขอะไร ให้มันดีกว่าเดิม
ดังนั้นคำถามที่ว่า ญี่ปุ่น จะเป็นแชมป์ ฟุตบอลโลก ในปี 2050 ได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกต่อไปแล้ว พวกเขากำลังทำทุกอย่างตามแผนงานที่วางไว้บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ต่อจากนี้มารอดูกันว่า ญี่ปุ่น จะแข็งแกร่ง และ สร้างเรื่องราวให้ฮือฮามากขนาดไหน เชื่อว่าหลังจากนี้ ไม่ใช่แค่นักเตะญี่ปุ่น ไปเล่นกับลีกใหญ่ของยุโรปแล้วนะครับ แต่อาจจะไปกระจายอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่มากกว่าเดิม
เชื่อว่าในสักวันหนึ่ง พวกเราอาจได้เห็นนักเตะเอเชียคนแรก ที่ค่าตัวแตะระดับ 100 ล้านปอนด์ ซึ่งคนๆนั้นอาจจะเป็น คาโอรุ มิโตมะ ของ ไบรท์ตัน ก็ได้ใครจะไปรู้ !!
ฮาย ฮาวดี้-