เพราะนับตั้งแต่เข้ามากุมบังเหียน รับไม้ต่อจาก เกรแฮม พ็อตเตอร์ ก็ได้เปลี่ยนสถานะให้กับ ไบรท์ตัน จากทีมที่ดีอยู่แล้ว ให้กลายเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมไปมากกว่าเดิม ต่อกรกับทีมหัวกระทิ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้อย่างสูสี
ต่อให้เสียตัวหลักไปมากแค่ไหน ก็ไม่หวั่น เพราะเขามักจะหาทรัพยากรใหม่ๆเข้ามาเติมเต็มให้กับทีมได้อยู่เสมอ ล่าสุดมันก็ผลลัพธ์ชั้นดี คือการพา นกนางนวล บุกไปเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงถิ่น 3-1 เป็นการหยุดสถิติไร้พ่ายที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไว้ที่ 31 นัด
ตอนนี้ เดอ แชร์บี้ ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง หลายคนมองว่าอาจจะอยู่กับ ไบรท์ตัน ได้อีกไม่นาน อาจจะมีการขยับขยายที่เติบโตมากขึ้นกว่านี้ แต่หลายคนไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ทำไม เดอ แชร์บี้ ถึงทำ ไบรท์ตัน ให้มันยอดเยี่ยมเกรียงไกร ภายในเวลาแค่ 1 ปี แบบนี้
เดี๋ยวจะพาไปเล่าถึงเส้นทางของ เดอ แชร์บี้ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน
ฟุตบอลสไตล์ของ ไบรท์ตัน นั้น เล่นสวยงาม ต่อบอลเท้าสู่เท้า และ การเข้าทำอันรวดเร็ว ด้วยเทคนิคอันยอดเยี่ยมของนักเตะ ซึ่งแท็คติคเหล่านี้ เติบโตขึ้นมาได้ภายใต้การคุมทีมของ เกรแฮม พ็อตเตอร์ โดย ดิ แอธเลติค เคยรายงานไว้ว่า พ็อตเตอร์ มีการสร้างแนวทางการเล่น มาจากการดูของ บาร์เซโลน่า ยุค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุมบังเหียน
ดังนั้น คนที่เข้ามาสืบทอดตำแหน่งต้องมีสไตล์ที่คล้ายคลึงกัน และ คนที่ ไบรท์ตัน ดึงมา ก็คือ โรแบร์โต้ เดอ แชร์บี้ ..
ดูแบบผิวเผิน โรแบร์โต้ เดอ แชร์บี้ ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรเป็นส่วนตัวกับ เป๊ป เลยครับ แต่กระนั้นมันมีภาพฟ้องอยู่ว่า เดอ แชร์บี้ กับ เป๊ป ก็มีความสนิทสนมกันในระดับนึงเลย เพราะมันมีภาพของเขากับเหล่าทีมโค้ช เคยไปกินข้าวโต๊ะเดียวกันกับ เป๊ป มาแล้ว เมื่อสักประมาณเดือนสิงหาคม ปีที่ผ่านมา สมัยที่ยังคุมทีม ซาสซูโอโล่ พร้อมกับต่อยอดไปชมการฝึกซ้อมแบบเอ็กซ์คลูซีฟ
ถ้าจำกันได้ ยุคที่ เดอ แชร์บี้ คุมทีม ซาสซูโอโล่ เขาพัฒนาให้ทีมกลางๆของ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี กลายเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลโคตรเอนเตอร์เทน ยิงเยอะ แต่ก็เสียเยอะเช่นกัน แต่เขาได้ทำทีมพัฒนาเปอร์เซ็นต์การครองบอล ได้ดีที่สุดทีมหนึ่งของยุโรป
ตอนอยู่ที่ซาซซูโอโล่ เขาคือโค้ชที่พาทีม 'พัฒนาเปอร์เซนต์การครองบอล' ได้มากที่สุดทีมหนึ่งของยุโรป
ครั้งหนึ่งเมื่อซีซั่น 2019-20 เดอ แชร์บี้ เคยพา ซาสซูโอโล่ เป็นทีมที่เยอะสุดเป็นอันดับ 6 ของ เซเรีย อา อิตาลี เป็นรองแค่ ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน, อตาลันต้า, ลาซิโอ และ โรม่า เท่านั้น ซึ่งสมัยที่เขาคุมทีม มีสถิติยิงประตูเกิน 60 ลูก ต่อซีซั่นอยู่ตลอด
การสร้างบอล บิ๊วท์อัพ จาก ผู้รักษาประตู ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดังนั้นทุกอย่างเข้าแก๊ปกับ ไบรท์ตัน ที่วางโครงสร้างเอาไว้ ทำให้ เดอ แชร์บี้ ก็มีบุคลากรเพียบพร้อม มากกว่าสมัย ซาสซูโอโล่ ดีกว่ายุค ชัคตาร์ โดเน็ตส์ท ก่อนจะดึง ริคาร์ด เซการ์ร่า อดีตโค้ชผู้รักษาประตูระดับเยาวชนของบาร์เซโลน่า ที่เข้าใจวิธีการเล่นฟุตบอลของ เป๊ป อยู่แล้ว มาทำงานในช่วงที่้เขารับตำแหน่งเลย
พร้อมกับได้ตัวดาวรุ่ง ที่พร้อมพัฒนาฝีเท้าตัวเอง มาร่วมงานกันมากมาย เมื่อสโมสรปูรากฐานเอาไว้, เดอ แชร์บี้ เข้ามาเติมเต็ม และ ได้นักเตะดาวรุ่งชั้นยอด ที่ไม่มีใครแย่งเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น
มอยเซส ไกเซโด้ จาก อินดิเพนเดียนเต้, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ จาก อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส, คาโอรุ มิโตมะ จาก คาวาซากิ ฟรอนทาเล่
ซึ่งนับเป็นนักเตะที่โด่งดังมากเหลือเกินในตอนนี้ คนที่ย้ายออกไปแล้ว ก็สามารถสร้างรายได้มหาศาล เพราะ ไบรท์ตัน ทราบเรื่องนี้ดีว่า พวกเขาเป็นทางผ่าน พร้อมให้นักเตะไต่เต้าขึ้นไป เป็นแนวทางสู่ "อนาคต" แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้ดาวรุ่งทั่วโลก อยากมาผ่านวิชาลูกหนังกับ ไบรท์ตัน เหมือนที่ บาร์เซโลน่า ยอมส่ง อันซู ฟาติ มาให้ยืมใช้งาน หากเป็นหลายปีก่อนหน้านี้ต้องบอกเลยว่า "ไม่มีทาง"
แต่เพราะ ไบรท์ตัน มี อัตลักษณ์ , มีตัวตน , และ มีความเข้าใจในวิธีการเล่นของทีม ทำให้สโมสรแห่งนี้สามารถหานักเตะดีๆมาทดแทนได้ตลอด โดยมี เดอ แชร์บี้ เป็นผู้ขับเคลื่อนให้ก้าวไปข้างหน้า ถึงขั้นที่ The Athletic เคยอ้างอิงจากการสัมภาษณ์เอเย่นต์ชาวสเปน รายหนึ่งว่า ตอนนี้ในมุมมองของนักเตะอเมริกาใต้ พวกเขามอง ไบรท์ตัน น่าดึงดูดกว่าทีม ลา ลีกา สเปน อย่าง เซบีย่า หรือ บาเลนเซีย ไปแล้ว
ซึ่งหลังจากที่ ดิ แชร์บี้ คุมทีม ไบรท์ตัน ครบ 1 ปี เขาก็ได้สร้างผลงานที่บุคคลสำคัญในสโมสรแห่งนี้ ไม่เคยทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ
1. พาสโมสรผ่านไปเล่นฟุตบอลยุโรป ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ไบรท์ตัน ก่อตั้งมาแล้ว 122 ปี นับตั้งแต่ปี 1901 เชื่อไหมครับว่า ประวัติศาสตร์สโมสร ไม่เคยคว้าโควต้าไปเล่นเวทียุโรปเลยสักครั้งเดียว เนื่องจาก ไบรท์ตัน เพิ่งได้สิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นครั้งแรก เมื่อซีซั่น 2017-18 นี่เอง
ในช่วง 4 ซีซั่นแรก กับเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พวกเขามีสถานะเป็นทีมหนีตายเท่านั้น เคยรอดตกชั้นแบบหวุดหวิด หลังจบอันดับ 17 มีแต้มเหนือ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ อันดับ 18 แค่ 2 คะแนน เท่านั้น กระทั่งเปลี่ยนมือมาเป็น เกรแฮม พ็อตเตอร์ ก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ แต่ดีที่สุดก็ทำได้เพียงแค่อันดับ 9 เท่านั้น
กระทั่ง เชลซี มาดึง พ็อตเตอร์ ไปคุมทีม ทำให้ ไบรท์ตัน ไปดึงตัว เดอ แชร์บี้ มากุมบังเหียน หลังว่างงาน นับตั้งแต่แยกทางกับ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค ถึงแม้เขาจะเป็นกุนซือโนเนม แฟนบอลบ้านเราไม่ค่อยรู้จัก
เขาไม่ต้องป่าวประกาศว่าตัวเองมีดีอะไรบ้าง นอกจากใส่ผลงานลงไปให้แฟนบอลได้เห็นเป็นขวัญตา จากทีมม้านอกสายตา กลายเป็นทีมที่แสงสปอร์ตไลท์สาดเข้ามาหาโดยอัตโนมัติ ทั้งสไตล์การเล่นที่ดูสนุก เพลินตา ทำให้ ไบรท์ตัน ทีมนี้ เปลี่ยนสถานะจากทีมหนีตกชั้น กลายเป็นทีมที่สามารถจบอันดับ 6 ในช่วงจบซีซั่น คว้าโควต้าไปเล่น ยูโรปา ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
2. ชนะทีม บิ๊ก ซิกซ์ เป็นว่าเล่น
ถ้าจะหาว่าทีมไหน ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่สามารถต่อกร และ ปราบเอาชนะทีม ท็อป ซิกซ์ ได้มากที่สุด ต้องมีชื่อของ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน อยู่ในนั้น หากไม่เชื่อ ก็ลองไปถาม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูว่า จริงหรือไม่ !! เพราะ 4 ครั้งหลังสุดในลีก ไบรท์ตัน ชนะ ปีศาจแดง ทุกครั้ง ซึ่ง 2 จาก 4 นัด ก็มาจากฝีมือของ เดอ แชร์บี้ นี่แหละครับ
แต่ไม่ใช่ ปีศาจแดง ทีมเดียวที่แพ้ทาง เพราะ ลิเวอร์พูล ทีมเพื่อนรัก ก็เช่นกัน โดย 7 ครั้งหลังสุดที่พบกัน ไบรท์ตัน แพ้ต่อ หงส์แดง ไปเพียงแค่หนเดียว ที่เหลือชนะ 3 ครั้ง และ เสมอ 3 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งหลังสุดที่พบกัน เดอ แชร์บี้ สามารถพา ไบรท์ตัน ปราบลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ทั้ง 2 นัด
ทำให้ เดอ แชร์บี้ มีสถิติพา ไบรท์ตัน เจอกับทีม บิ๊ก ซิกซ์ มาแล้ว 15 เกม แต่ชนะเกินครึ่งคือ 8 นัด นอกจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ยังมี เชลซี กับ อาร์เซน่อล ที่เคยตกเป็นเหยื่อของ นกนางนวล มาแล้ว หากจำกันได้ ไบรท์ตัน บุกไปเอาชนะ อาร์เซน่อล 3-0 พร้อมดับความหวังการลุ้นแชมป์ ไอ้ปืนใหญ่ ไปในทันที
เหลือเพียงแค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เท่านั้น ที่ เดอ แชร์บี้ ยังไม่สามารถพาทีมเอาชนะได้ ต้องมารอดูกันว่าท้ายที่สุดแล้ว เขาจะล้างอาถรรพ์ของตัวเองได้หรือเปล่า !!
3. ฉายา ไบรท์ตันโลน่า ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ด้วยความที่ บาร์เซโลน่า เป็นไอค่อนของแท็คติค "ติกิ-ตาก้า" การต่อบอลเท้าสู่เท้าแบบแม่นยำ นับตั้งแต่ยุค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดังนั้นหากทีมไหน มีสไตล์การเล่นคล้ายๆกัน และ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จะมีคำว่า โลน่า ไปต่อท้ายเสมอ เหมือนที่ครั้งหนึ่ง สวอนซี เคยมีฉายา สวอนซีโลน่า ในยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คุมทีม
เฉกเช่นกับ ไบรท์ตัน ชั่วโมงนี้ครับ พวกเขาถูกขนานนามว่า ไบรท์ตันโลน่า แห่ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เพราะ เดอ แชร์บี้ ทำให้ ไบรท์ตัน เป็นทีมที่เล่นโคตรเอนเตอร์เทน ทั้งการต่อบอลอันแม่นยำ การลากเลื้อยอันสะแด่วแห้วของนักเตะ รวมถึงเทคนิคชั้นเลิศที่แต่ละคนแสดงออกมา
ไม่ว่าเจอทีมเล็ก ทีมใหญ่ พวกเขากล้าต่อบอล กล้าครองบอลใส่หมด ไม่สนลูกใคร ซึ่งนับตั้งแต่ เดอ แชร์บี้ เข้ามากุมบังเหียน ทำให้ ไบรท์ตัน มีสถิติครองบอลต่อ 1 เกม สูงถึง 62 เปอร์เซ็นต์ โดยในเกมที่บุกไปตบ ปีศาจแดง ถึงถิ่น 3-1 พวกเขามีเปอร์เซ็นต์การครองบอลอยู่ที่ 58 % เรียกว่าข่มเจ้าบ้านมิดด้าม
ยิ่งไปกว่านั้น ประตูที่ ปาสกราล กรอสส์ ยิงให้ ไบรท์ตัน ขึ้นนำ ปีศาจแดง 2-0 มันมีสถิติฟ้องว่า พวกเขาผ่านบอลตั้งแต่ผู้รักษาประตู จนจบสกอร์มากถึง 30 ครั้ง รวมประมาณ 1 นาทีครึ่ง ชนิดที่ นักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถแย่งบอลได้เลย ซึ่งนี่มันคือ เดอ แชร์บี้ บอล ชัดๆ
- เสียของดีไป แต่ก็ได้ของใหม่เข้ามาแทน
หลายคนมองว่า ไบรท์ตัน ต้องเสีย 2 นักเตะเก่งอย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ไปให้กับ ลิเวอร์พูล และ ปล่อย มอยเซส ไกเซโด้ ไปให้กับ เชลซี ด้วยค่าตัวสถิติ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 115 ล้านปอนด์ พวกเขาจะต้องเสียกระบวนไปแน่ๆ แต่เปล่าเลยทุกอย่างยังเหมือนเดิม เผลอๆ เดอ แชร์บี้ สร้างให้ ไบรท์ตัน ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ
มาห์มูด ดาฮูด หรือ บิลลี่ กิลมอร์ ที่สลับกันลง เล่นคู่กับ ปาสกราล กรอสส์ ได้อย่างลงตัว ด้านข้างมีตัวจี๊ดอย่าง คาโอรุ มิโตมะ เป็นตัวปั่นป่วนฝั่งซ้าย ส่วนฝั่งขวาก็กำลังปั้น ไซม่อน อดินกร้า เป็นตัวจี๊ดคนใหม่ที่ฟอร์มดีวันดีคืน และ ห้ามลืม อันซู ฟาติ ที่สามารถยืมตัวมาจาก บาร์เซโลน่า ได้สำเร็จ ซึ่งมันทำให้เห็นว่า เจ้าบุญทุ่ม ไว้ใจสไตล์ของ เดอ แชร์บี้ มากเพียงใด
เพราะสิ่งที่ เดอ แชร์บี้ สร้างมา มันคือระบบ มันคือโครงสร้างที่วางรากฐานเอาไว้ ดังนั้นคนที่เหมาะสม หรือ คนที่เขาเลือก เมื่อเข้ามาเล่นแท็คติคนี้แล้ว ก็สามารถลงล็อคได้ทันที อาจจะมีปรับตัวบ้าง แต่ทุกอย่างก็ไหลลื่น ขนาดนักเตะอายุ 30+ อย่าง อดัม ลัลลาน่า หรือ แดนนี่ เวลเบ็ค ก็สร้างความอันตรายได้เช่นกัน
ด้วยความยอดเยี่ยมนี้ ทำให้ เดอ แชร์บี้ มีสถิติคุมทีมมาแล้ว 44 เกม ชนะ 23 นัด เสมอ 9 นัด แพ้แค่ 12 นัด ณ วันที่ 20 กันยายน 2023 ซึ่งมีการยิบย่อยอีกว่า ไบรท์ตัน สามารถยิงประตูใส่คู่แข่งมากกว่า 3 ลูก ถึง 18 เกม โดย พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ กดไปแล้ว 14 ตุง ซึ่ง 4 จาก 5 เกม ยิงคู่แข่งมากกว่า 3 ลูก นับว่าเป็นสถิติที่ "โหดสัสรัสเซีย" มากๆ
แล้วมาดูกันว่า ไบรท์ตัน ของ เดอ แชร์บี้ ในซีซั่นนี้ มันจะไปไกลได้มากแค่ไหน จะจบดีกว่าอันดับ 6 ที่เคยทำไว้หรือไม่ และ ผลงานบนเวที ยูโรปา ลีก จะเกรียงไกรมากเพียงใด รอติดตามรับชมกันให้ดีๆ
ฮาย ฮาวดี้-