logo-heading

นับจากนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 5 เดือน “บิ๊กอ๊อด” ก็จะหมดวาระลง ซึ่งก่อนที่ท่านจะอำลาตำแหน่งไปอย่างเป็นทางการ มีอะไรที่เป็นผลงานที่ท่านได้สร้างไว้ให้กับวงการฟุตบอลไทย และมีอะไรที่ท่านบริหารผิดพลาด ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา และอะไรคือสิ่งที่ท่านนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลคนต่อไป จะต้องเข้ามาแก้ไขและจัดการต่อหลังจากนี้ 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ โดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ ได้จัดงานแถลงข่าวใช้ชื่อว่า “The Untold Story of FA Thailand” หลักๆ ก็คือการสรุปผลงานที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 8 ปี ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ภายใต้การบริหารงานของนายกสมาคมฯ ที่ชื่อว่า พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้กับนายกสมาคมฯ คนใหม่ที่จะเข้ามาบริหารงานในปีหน้า

จริงๆ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มีหลายอย่างครับที่ พล.ต.อ.สมยศ รวมทั้งทีมงานสภากรรมการฯ ชุดนี้ ได้สร้างขึ้นมาใหม่ให้กับวงการฟุตบอลไทย มีหลายอย่างที่ทำได้ดีซึ่งก็ต้องชื่นชม แต่ก็มีหลายอย่างที่ทำได้น่าผิดหวัง อันนี้เราก็ต้องมาวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามเนื้อผ้า ซึ่งเราก็จะพูดถึงทั้งสองแง่มุม

เอาเรื่องที่ทำแล้วดีน่าชื่นชมก่อนก็แล้วกัน นั่นก็คือการสร้างที่ทำการสมาคมฯ ขึ้นมาใหม่แบบใหญ่โตสมฐานะ แต่ก่อนที่จะได้ที่ทำการสมาคมฯ ที่ใหม่นี้มา มันมีเรื่องราวที่ “บิ๊กอ๊อด” เล่าให้ฟังในงานแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา “บิ๊กอ๊อด” เล่าว่า ตอนแรกหลังจากที่เกษียรอายุราชการตำรวจมา ไม่ได้มีความคิดที่จะมาเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ มาก่อน และก็ไม่เคยมีความคิดนี้มาก่อนด้วย แต่ก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งในและนอกวงการชักชวนบอกว่าตนนั้นเหมาะสม อีกทั้งก็เป็นคนชอบเล่นฟุตบอลอยู่แล้ว ก็เลยขอลองดู โดยมีความตั้งใจที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้ดีขึ้น และก็เหมือนเป็นการเสียสละมาทำงานเผื่อชาติด้วยอีกทางนึง

ท่านนายกฯ เล่าว่าที่วันแรกที่ตนเข้ามารับตำแหน่งนายกสมาคมฯ เมื่อปี 2559 ไม่ได้รับอะไรมาจากสมาคมฯ ชุดเก่าเลย นั่นก็คือสมาคมฯ ชุดของ “นายวรวร์ มะกูดี” นอกจากกุญแจเพียงดอกเดียวที่ใช้ไขเข้าสมาคมฯ ที่เก่า ที่อยู่ภายในสนามศุภชลาศัย ซึ่งพอเข้าไปดูสถานที่ก็รู้สึกว่ามันทำงานลำบาก อีกทั้งไม่ใช่ที่ของสมาคมฯ ด้วย เพราะสนามศุภชลาศัยเป็นที่ของกรมพลศึกษา ซึ่งตอนนั้นก็มีเรื่องมีราวกันเรื่องที่ดิน

ทำให้ “บิ๊กอ๊อด” เลยไปขอเช่าออฟฟิศของอาคารพงษ์สุภี อยู่ตรงถนนวิภาวดี ซึ่งเป็นตึกของเพื่อนบิ๊กอ๊อดเอง ก็เลยไปอาศัยตั้งรกรากอยู่ที่นั่น ซึ่งมีทั้งที่ทำการสมาคมฯ และบริษัทไทยลีก ที่ไปประจำการอยู่ที่นั่น ซึ่งเวลามีการประชุม มีแถลงข่าวอะไร นักข่าวก็จะต้องไปทำข่าวที่นั่น ซึ่งก็ถือว่าลำบากมากๆ เพราะสถานที่คับแคบ ที่จอดรถก็น้อย ทำอะไรก็ดูจะยากไปหมด ยกเว้นใช้ทำงานเรื่องเอกสารต่างๆ

ปีต่อมา “บิ๊กอ๊อด” เลยไปขอที่กับการกีฬาแห่งประเทศไทยเพื่อจะทำเป็นที่ตั้งของสมาคมกีฬาฟุตบอล ก่อนหน้านั้นก็ไปใช้อาคารจิตต์อุทัยตรงรามคำแหงอยู่พักใหญ่ๆ สุดท้ายก็ไปได้อาคาร 40 ปี ของสมาคมกีฬาเทนนิส ซึ่งถ้าเคยไปราชมังฯ ตรงทางเข้าขวามือตึกสีเทาๆ นั่นแหละครับ

ซึ่งตอนแรกเป็นอาคารของสนามกีฬาเทนนิสที่อยู่ตรงนั้น แต่สมาคมฯ ก็เอามารีโนเวททำเป็นที่ทำการของสมาคมฯ โดย “บิ๊กอ๊อด” บอกว่า จากการที่สมาคมฯ ชุดเก่าไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เลย ทำให้สมาคมฯ ไม่มีเงินสักบาท สุดท้ายต้องควักงินตัวเองกว่า 45 ล้านบาท มาบูรณะอาคาร 40 ปี ให้เป็นที่ทำการของสมาคมฯ เวอร์ชั่น 1 ก่อนที่ล่าสุดเมื่อต้นปี 2023 ก็จะย้ายมาใช้ที่ใหม่ที่อยู่ด้านหลังของสนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งก็ได้งบประมาณมาจากฟีฟ่าในการก่อสร้างในครั้งนี้ 

ถือเป็นที่ทำการสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เวอร์ชั่นใหม่แบบสมบูรณ์แบบ และเป็นครั้งแรกในรอบ 108 ปี ในการก่อตั้งสมาคมฯ ภายในนอกจากสมาคมฯ แล้ว ยังมีบริษัทไทยลีก ตั้งอยู่ที่นั่นด้วย และไฮไลท์ก็คือมีสนามฟุตซอลอยู่บริเวณชั้น 2 ของที่ทำการด้วย เพื่อใช้เป็นที่ฝึกซ้อมของทีมโต๊ะเล็กทีมชาติไทย 

นี่คือเรื่องแรกที่ขอชื่นชมกับการสร้างที่ทำการขึ้นมาใหม่ได้สวยงามหรูหรา เรื่องอื่นๆ ที่ทำได้ดีและต้องชื่นชมก็อย่างการเปิดอบรมโค้ชโปรไลน์เซนส์ ที่แต่เดิมมีคนเดียว ตอนนี้ก็มีโค้ชโปรไลน์เซนส์ในเมืองไทยกว่า 30-40 คน แต่ก็ยังมีโค้ชตกงานเยอะเหมือนกัน

เรื่องของการนำเทคโนโลยีวีเออาร์ มาใช้ในการตัดสินไทยลีก ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องชม เพราะเป็นประเทศแรกของอาเซียนที่มี VAR ใช้ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่วีเออาร์ ตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่การทำหน้าที่ของผู้ตัดสินที่ก็ยังมีให้บ่นกันทุกนัด ทุกสัปดาห์

และล่าสุดก็คือโปรเจกต์การสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ ที่ตอนนี้ได้ที่ดินที่จะสร้างเรียบร้อย โดยจะอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งจะเป็นศูนย์ฝึกฟุตบอลแบบครบวงจร มีสนามฟุตบอลฯ 6-7 สนาม มีศูนย์ฝึกในร่มและกลางแจ้ง ซึ่งก็ต้องรอดูความยิ่งใหญ่อีกครั้งหลังสร้างเสร็จ

ทิ้งท้ายอีกเรื่องนึงที่สมาคมฯ ชุดนี้ได้ไปบิดมาสำเร็จนั่นก็คือการเป็นเจ้าภาพประชุมฟีฟ่าคองเกรส หรือการประชุมผู้นำสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ของ 211 ประเทศ มาประชุมที่ประเทศไทยของเราในช่วงวันที่ 17 พ.ค.2567 ซึ่งนี่ถือเป็นงานใหญ่ของวงการฟุตบอลของโลก ที่สมาคมฯ ชุดนี้ไปดีลมาได้ หลักๆ คงเป็นประมาณนี้ที่เป็นเรื่องน่าชื่นชม

มาต่อกันที่เรื่องที่เป็นผลงานน่าผิดหวัง ซึ่งก็มีหลายเรื่องเช่นกัน เรื่องแรกเลยก็คือผลงานทีมชาติไทย ที่แม้ว่า 2 ปีหลังสุดจะดูดีขึ้นมาหน่อยกับทีมชาติไทยชุดใหญ่กับแชมป์อาเซียน คัพ 2 สมัย แต่ถ้านับผลงานในระดับเมเจอร์จริงๆ ก็ยังถือว่าน่าผิดหวัง และทีมชาติไทยก็ยังอยู่ที่เดิม หรืออาจจะถอยหลังจากเดิมด้วยซ้ำ โค้ชระดับโลกกี่คนต่อกี่คนเข้ามา ก็ยังไม่ช่วยให้ผลงานดีขึ้น สุดท้ายต้องไปชวนมาดามแป้งเข้ามาบริหารทีมชาติไทย รวมไปถึงชุดเยาวชนก็ถือว่าสอบตกแทบทุกชุด เรื่องนี้คงไม่ต้องลงรายละเอียด

ประเด็นใหญ่อีกเรื่องนั่นก็คือมูลค่าของฟุตบอลไทยลีก ที่ตกฮวบฮาบกลายเป็นสโมสรที่ต้องมาช่วยกันหาเงินเข้ามา หาช่องถ่ายทอดสดกันเอง จากที่เคยมีมูลค่าเป็นพันๆ ล้านต่อปี เหลืออยู่ 50 ล้านในปีนี้ และไม่มีใครซื้อด้วย 

ซึ่งจริงๆ ถ้าย้อนกลับไปที่คำพูดของ “บิ๊กอ๊อด” ที่บอกว่าตอนเข้ามาทำงานวันแรก สมาคมฯ ชุดเก่าไม่เหลืออะไรไว้ให้เลย คงไม่ใช่แบบนั้น เพราะตอนที่สมาคมฯ ชุดเก่าออกไป ได้ทิ้งมูลค่าลิขสิทธิ์ของไทยลีกไว้ให้ปีละพันล้านอย่างที่บอก แต่สุดท้ายตอนที่ท่านกำลังจะหมดวาระลงไปไทยลีกมีมูลค่าอยู่ที่ 0 บาท ในฤดูกาลหน้า

ซึ่งนี่เป็นโจทย์ของนายกสมาคมฯ และผู้บริหารชุดใหม่ที่จะเข้ามาในปีหน้า จะต้องกอบกู้มูลค่าของฟุตบอลไทยลีกกลับมาให้ได้ รวมทั้งผลงานของทีมชาติไทย ก็จะต้องกลับมาเป็นอับดับหนึ่งของอาเซียน ทุกวันนี้ยังตามหลังเวียดนาม และไม่สามารถแซงเขาได้สักที

บิ๊กอ๊อดบอกว่า นายกฯ คนต่อไปเข้ามาแล้ว แทบไม่ต้องทำอะไร เพราะสมาคมฯ ชุดนี้ทำไว้ให้หมดแล้ว แต่สำหรับผมคิดว่า ถ้าแค่เปลือกนอกก็เป็นเช่นนั้น ที่ทำการมี สิ่งอำนวยความสะดวกมี แต่การบริหารจัดการภายใน ดูแล้วต้องยกใหม่ทั้งระบบ

สุดท้ายคงต้องฝากความหวังไว้กับท่านนายกสมาคมฯ กีฬาฟุตบอลฯ คนใหม่ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะเป็น “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ที่จะเข้ามาบริหารสมาคมฯ ในปีหน้า ก็หวังว่าจะสามารถทำให้สมาคมฯ ฟุตบอลมันพัฒนาขึ้นทั้งภาพลักษณ์ภายนอก และการบริหารงานภายใน ให้มีความโปร่งใส และดีกว่า 8 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นหวังหวัง หรือความฝันลมๆ แล้งๆ หรือเปล่า ผลงานทั้งหมดก็จะเป็นคำตอบ


#ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline