logo-heading

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า มาร์ติน โอเดการ์ด คือเพลย์เมกเกอร์ ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่การจากไปของ เมซุต โอซิล จากนักเตะดาดๆที่หลายคนคิดว่าหมดอนาคตไปเรียบร้อยแล้ว กลับกลายมาเป็นกัปตันทีมของ อาร์เซน่อล นี่อาจจะเป็นการควักเงิน 30 ล้านปอนด์ที่คุ้มที่สุดของ มิเกล อาร์เตต้า เลยก็ว่าได้

วันนี้ทางขอบสนามจะมาพูดถึงเส้นทางการค้าแข้งของ นักเตะชาวนอร์เวย์ รายนี้กันครับ ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มาติดตามรับชมกันครับ

[ ดาวรุ่งวัย 15 ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ]

มาร์ติน โอเดการ์ด เติบโตในระดับเยาวชนให้กับทีม แดรมเมน สตรอง ทีมในบ้านเกิดในนอร์เวย์ ซึ่งมีพ่อของเขาอย่าง ฮานส์ เอริค โอเดการ์ด อดีตมิดฟิลด์ตัวเก่งของทีม สตรอมส์ก็อตเซต เป็นผู้จัดการทีมอยู่ ณ เวลานั้น  

แต่ด้วยความที่ โอเดการ์ด มีพรสวรรค์ที่สูงเกินวัย และเก่งเกินกว่าเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวอยู่หลายขุม  ทำให้ทีมดังใน นอร์เวย์ อย่าง สตรอมส์ก็อตเซต ซึ่งเป็นทีมเก่าของพ่อตัวเองสมัยที่ยังค้าแข้งอยู่ ดึงตัวไปร่วมทีมในปี 2009 แล้วก้าวไปเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ ด้วยวัยเพียง 13 ปีเท่านั้น

หลังจากนั้นไม่นานในปี 2011 โอเดการ์ด ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของทีมด้วยวัยเพียง 15 ปีกับอีก 118 วัน ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในลีกของ นอร์เวย์ ทันที และสามารถติดทีมชาติชุดใหญ่ของนอร์เวย์ ตอนอายุ 15 ปี 235 วัน 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สามารถพังประตูแรกให้กับทีมชาติชุดใหญ่ได้สำเร็จในวัยเพียง 15 ปี 300 วัน เท่านั้น 

ด้วยความที่นักเตะเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ และความเก่งกาจตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ โอเดการ์ด เป็นที่โด่งดังอย่างมาก ณ เวลานั้น และถูกจับตามอง โดยบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรป ไม่ว่าจะเป็น เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, แมนฯยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เปแอชเช, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เรียกได้ว่ามันกันครบเลยทีเดียว

นอกจากนั้น โอเดการ์ด ยังได้มีโอกาสได้ไปทดสอบฝีเท้ากับ ลิเวอร์พูล ได้เจอกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เรียกได้ว่าผลงานเข้า ผู้จัดการทีม ณ เวลานั้นอย่าง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส สุดๆ

[ เลือกทีมผิดชีวิตเปลี่ยน ]

มาร์ติน โอเดการ์ด ลงสนามให้กับทีม สตรอมส์ก็อตเซต ไปเพียง 1 ฤดูกาลเท่านั้นด้วยผลงานการลงสนามทั้งหมด 24 นัด 5 ประตู กับอีก 7 แอสซิสต์ นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆสำหรับนักเตะที่วัยเพียง 15 ปี

แต่สุดท้ายแล้ว ในปี 2015 โอเดการ์ด ตัดสินหอบข้าวของจาก นอร์เวย์ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ใน สเปน อย่าง เรอัล มาดริด ทีมที่เปี่ยมไปด้วย ซุปเปอร์สตาร์ ด้วยค่าตัว 3 ล้านปอนด์

เส้นทางของดาวเตะรายนี้ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเหมือนที่ใครหลายคนคิด เมื่อ โอเดการ์ด ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งพื้นที่ตัวจริงของ เรอัล มาดริด ในเวลานั้นได้เลย 

แต่ก็ไม่น่าแปลกใจทำไหร่นัก เพราะ ณ เวลานั้น ทีมราชันชุดขาว มี 3 ประสานในแดนหน้าที่ดีที่สุดในโลกอย่าง “บีบีซี” คริสเตียโน่ โรนัล โด้, แกเร็ธ เบล และ คาริม เบนเซม่า 

มิหนำซ้ำตำแหน่งกองกลางก็มีนักเตะระดับโลกอย่าง ลูก้า โมดริช และ โทนี่ โครส คอยประจำการอยู่แล้ว โดยฤดูกาลแรกของเจ้าตัว

โอเดการ์ด ถูกส่งลงสนามในฐานะทีมชุดใหญ่ไปเพียง 1 นัดเท่านั้น โดยการลงสนามเป็นตำสำรองแทนที่ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในเกมที่พบกับ เคตาเฟ่ ทำให้ เจ้าตัวกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ ด้วยวัยเพียง 16 กับอีก 157 วัน

ด้วยความที่ว่าเจ้าตัวมีปัญหาในเรื่องของภาษา และไม่สามารถหาตำแหน่งตัวจริงในทีมชุดใหญ่ได้ เขาจึงถูกส่งไปเล่นและซ้อมกับทีมสำรองอย่าง กาสตีญ่า ซึ่งมี ซีเนดีน ซีดาน เป็นผู้จัดการทีมอยู่ ณ เวลานั้น 

จากหนึ่งในนักเตะผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในโลก กลับต้องมาเล่น และฝึกซ้อมกับทีมสำรอง ทำให้ โอเดการ์ด จิตใจแตกสลายในทันที เขาเริ่มทำตัวไม่มีระเบียบวินัย ขาดซ้อมบ้าง มาซ้อมสายบ้าง แถมยังมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมอยู่บ่อยครั้ง

ในท้ายที่สุดเขาก็ถูกปล่อยยืมไปตัวไปให้กับ ฮีเรนวีน ในลีกดัตช์ ในปี 2017/2018 แต่ผลงานนก็ไม่สู้ดีนัก แถมยังมีอาการเจ็บรบกวนอยู่เป็นระยะ โดยลงสนามไปทั้งหมด 24 นัด ยิง 2 ประตู 2 แอสซิสต์

ฤดูกาล 2018/2019 โอเดการ์ด ได้ย้ายมาเล่นทีมที่ใหญ่ขึ้นอย่าง วิเทสส์ อาร์เนม ในลีกดัตช์ ผลงานของเขาได้เปร่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง หลังโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนติดทีมยอดเยี่ยมของลีก เขาลงสนามไปทั้งหมด 39 นัด ยิง 11 ประตู 13 แอสซิสต์

[ บ้านหลังใหม่ที่ อาร์เซน่อล ]

ฤดูกาลถัดมา โอเดการ์ด กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง หลังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมกับ เรอัล โซเซียดาด ในฤดูกาล 2019/2020 เขาลงสนามไปทั้งหมด 36 นัด ทำได้ 7 ประตู 9 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ แถมยังถูกยกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรอีกด้วย 

เขากลับมายังถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว พร้อมกับความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมอีกครั้ง และหวังยึดตำแหน่งตัวจริงให้กับ เรอัล มาดริด ให้ได้

แต่ความเป็นจริงไม่เป็นดั่งหวังเสมอ โอเดการ์ด แทบจะไม่ได้รับโอกาสลงสนามเลย หลัง ซีดาน ชอบใช้งาน โมดริช, อิสโก้, หรือแม้กระทั่งดาวรุ่งอย่าง บัลเบร์เด้ มากกว่า 

จนในที่สุดจุดแตกหักระหว่าง โอเดการ์ด กับ ซีดาน ก็มาถึงในเกมซูเปอร์โกปา นัดที่ เรอัล มาดริด พบกับ แอธเลติก บิลเบา เกมนั้น เจ้าตัวถูกจับเป็นตัวสำรองแต่ไม่ถูกเรียกใช้งาน พอจบเกม มิดฟิลด์ชาวนอร์เวย์ กลับถูกเรียกไปให้วอร์ม ท่ามกลางความงุนงงของแฟนๆ 

จากนั้นไม่นาน ซีดาน ได้ประกาศรายชื่อ 20 คน ในเกม โกปาเดลเรย์ ที่พบกับ อัลคอยาโน่ แต่ โอเดการ์ด กลับไม่มีชื่อติดทีมซะอย่างนั้น ทั้งที่สภาพร่างกายก็ฟิตสมบูรณ์ หลังจากนั้นเจ้าตัวเลยต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง และขอขึ้นบัญชีย้ายทีมในที่สุด

ในขณะเดียวกันนั้นเอง อาร์เซน่อล เพิ่งเสีย มิดฟิลด์เพลย์เมกเกอร์ ที่มีปัญหาภายในทีมอย่าง เมซุต โอซิล ไปในปีนั้นพอดี มิเกล อาร์เตต้า จึงตัดสินใจยืมตัว โอเดการ์ด มาช่วงตลาดหน้าหนาวในเดือนมกราคม ปี 2020/2021 

ต้องเรียนตามตรงว่า ในช่วงระยะเวลาที่ โอเดการ์ด ยืมตัวมาเล่นให้กับ อาร์เซน่อล นั้น ผลงานของเจ้าตัวก็ไม่ถึงกับว้าวสักเท่าไหร่นัก อารมณ์ประมาณว่า ซื้อขาดก็ได้ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร ในสายตาที่เป็นแฟนบอลของ อาร์เซน่อล คนหนึ่ง โดยเจ้าตัวลงสนามให้กับทีมไปทั้งหมด 20 นัดรวมทุกรายการ ยิง 2 ประตู 2 แอสซิสต์

แต่ไม่รู้อะไรดลบันดาลใจให้ กุนชาวสแปนิช ดึงตัวมาร่วมทีมเป็นการถาวร ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ในช่วงตลาดซัมเมอร์ในปีเดียวกันนั่นเอง

ในปี 2021/2022 อาร์เซน่อล ออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่เป็นอย่างมาก ด้วยการแพ้ 3 นัดติด แถมยังยิงไม่ได้เลยซักประตูเดียว ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองกัปตันทีมอย่าง ปิแอร์ เอเมริค โอบาเมยอง ดันมีปัญหาเรื่องของวินัยภายในทีม ทำให้ต้องถูกปล่อยตัวไปในช่วงเดือนมกราคม 

แต่ก็เอาตัวรอดมาได้ จนเกือบได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้งในรอบ 5 ปี แต่ก็มาตกม้าตายในช่วงท้ายฤดูกาล

ส่วนผลงานของ โอเดการ์ด ก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวยกระดับตัวเองขึ้นมาได้เยอะพอสมควรถ้าเทียบกับฤดูกาลก่อน เจ้าตัวลงสนามไปทั้งหมด 40 นัดรวมทุกรายการ ยิงไป 7 ประตู 5 แอสซิสต์

[ กัปตันทีมคนใหม่ในถิ่น เอมิเรตส์ ]

พอจบฤดูกาล 2021/2022 อาร์เตต้า ได้เสนอชื่อ มาร์ติน โอเดการ์ด เป็นกัปตันทีมคนใหม่ ของ พลพรรคปืนโต หลังจากที่เสียกัปตัน และรองกัปตันไปในฤดูกาลที่ผ่านมา ก่อนเกม เอมิเรตส์ คัพ ที่เจอกับ เซบีญ่า

โอเดการ์ด ได้กล่าวหลังจากที่ได้รัตำแหน่งกัปตันทีมว่า “เป็นโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมนะ เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมากๆที่ได้รับหน้าที่เป็นกัปตันให้กับสโมสรอันแสนวิเศษแห่งนี้” 

พอเข้าสู่ฤดูกาล 2022/2023 อาร์เซน่อล ทำผลงานได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ภายใต้ทีมเด็กหนุ่มของ มิเกล อาร์เตต้า โดยมี กัปตันทีมชาวนอร์เวย์ เป็นผู้บัญชาการในแนวรุก ร่วมกับปีกทั้งสองข้างอย่าง บูกาโย่ ซาก้า และมาติเนลลี่ จนเกือบได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก แต่ก็ดันไปตกม้าตาย ในช่วงท้ายฤดูกาลอย่างน่าเสียดายเช่นเคย

แต่สิ่งที่ทำให้แฟนบอล อาร์เซน่อล พอจะอบอุ่นหัวใจ ก็พอจะมีให้เห็นอยู่บ้างก็คือ ภาวะการเป็นผู้นำของ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่แสดงออกมาให้แฟนบอลได้เห็น ทั้งในและนอกสนาม คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอ ในยามที่ทีมอยู่ในฟอร์มไม่ดี

ถ้าใครจำกันได้ ในเกมที่ อาร์เซน่อล เปิดบ้านพ่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-3 ในจังหวะที่ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ จ่ายบอลคืนหลังพลาด ทำให้ เควิน เดอบรอยน์ หลุดเข้าไปยิงโล่งๆ ทำให้เสียประตูกแรกไป

หลังจากนั้นภาพถ่ายทอดสดก็จับไปที่ โทมิยาสุ เดินก้มหน้าก้มตา ด้วยความผิดหวัง สีหน้าแววตาใครๆก็ดูออกครับ ว่าสภาพจิตใจของเขาย่ำแย่แค่ไหน กระทั่ง โอเดการ์ด ที่ตรงดิ่งไปให้กำลังใจ กองหลังเลือดซามูไร เป็นคนแรกพร้อมพูดว่า “เชิดหน้าขึ้นโทมิ ลืมประตูที่นายพลาดลูกนั้นซะ เกมยังไม่จบ ยังพอมีเวลาให้นายแก้ตัว” นี่เป็นการแสดงออกถึงความเป็นผู้นำอย่างชัดเจนของ กัปตันนอร์เวย์ ผู้นี้

นอกจากมีความเป็นผู้นำแล้ว ผลงานในสนามเองก็สุดยอดมากเช่นเดียวกัน ในฤดูกาลที่ผ่านมา โอเดการ์ด ได้สถาปนาตัวเองให้เป็นหนึ่งใน มิดฟิลด์หมายเลข 10 ที่ดีที่สุดใน พรีเมียร์ ลีก อย่างไม่ต้องสงสัย โดยลงสนามรวมทุกรายการไปทั้งหมด 45 นัด ยิง 15 ประตู กับอีก 8 แอสซิสต์ พร้อมพาทีมจบรองแชมป์ ตามหลังทีมแชมป์อย่าง แมนฯซิตี้ เพียง 5 แต้มเท่านั้น

เริ่มฤดูกาลใหม่พร้อมกับความคาดหวังที่มีมากกว่าเดิม ปัจจุบัน อาร์เซน่อล ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม รั้งอันดับ 2 ของลีก เป็นรอง สเปอร์ส เพียงแค่ลูกได้เสียเท่านั้น โดยที่ยังไม่แพ้ใคร โอเดการ์ด เอง ก็ยังทำผลงานได้โดดเด่นเช่นเคย โดยทำไปแล้ว 4 ประตู 1 แอสซิสต์ จากลงสนามทั้งหมด 12 นัดรวมทุกรายการ 

และนี่คือเรื่องราวคร่าวๆของ มาร์ติน โอเดการ์ด จากอดีตจนถึงปัจจุบัน คงต้องมาติดตามกันต่อไปครับว่า มิดฟิลด์ชาวนอร์เวย์ ผู้นี้จะโบยบินไปได้ไกลสักแค่ไหน ในฐานะกัปตันทีมของเหล่าเดอะกันเนอร์ส และเขาจะสามารถพา อาร์เซน่อล ไปถึงฝั่งฝันในการเป็นแชมป์ได้หรือไม่ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งเหล่านี้เองครับ

บีเบลล์ กูนเนอร์

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline