logo-heading

ย้อนกลับไปเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ในเกมที่ทีมชาติไทยของเราแพ้ให้กับจอร์เจีย แบบเละเทะ 8-0 ซึ่งเราไม่ได้เห็นทีมชาติไทยแพ้ขาดลอยแบบนี้มานานมากแล้ว ซึ่งในเกมวันนั้นครึ่งแรกจอร์เจีย กดไป 6 เม็ด แบบไม่ระบมหัวแม้เท้าอะไร คือถ้าจะเอามากกว่านั้นก็คงได้ เช่นเดียวกับในครึ่งหลังที่มายิงเพิ่มได้อีก 2 ประตู 

ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะไทยเราเล่นได้ดีขึ้น รวมทั้งเรื่องระบบและแผนการเล่นที่เปลี่ยนไป แต่อีกส่วนนึงก็เป็นเพราะจอร์เจีย ก็ผ่อนเครื่องลงไปด้วย ไม่เช่นนั้นสกอร์อาจจะจบที่ 10-0 หรือ 12-0 ก็เป็นได้ ก็ต้องขอบคุณจอร์เจียที่ยังมีเมตตาชนะเราไปแค่ 8-0

ทีมชาติไทย แพ้ จอร์เจีย 8-0 ในเกมอุ่นเครื่อง 12 ต.ค.ที่ผ่านมา

แต่กระนั้นสกอร์ 8-0 ที่เกิดขึ้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลไทยได้กระตุกต้อมความเฉยเมยทีมชาติไทยขึ้นมาได้บ้าง

จริงๆ ไม่อยากจะเล่าความยาวสาวความยืดเรื่องดราม่าอะไรอีก เพราะได้เคยเขียนไปแล้วหลายรอบ แต่ก็ขอย้อนนิดนึงละกันเผื่อใครไม่ได้ติดตามตั้งแต่ต้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับทีมชาติไทยในการไปทัวร์ยุโรปหนนี้ 

เรื่องราวต่างๆ เริ่มจากที่เมื่อต้นปีเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้ประกาศโปรแกรมอุ่นเครื่องฟีฟ่าเดย์ของทีมชาติไทยที่จะเตะในเดือนตุลาคม ว่าเราจะได้เดินทางไปอุ่นเครื่องที่ทวีปยุโรป พบจอร์เจีย และเอสโตเนีย ในตอนนั้นในฐานะคนที่ดูบอลไทย เป็นแฟนบอลไทย ก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้เห็นทีมชาติไทยไปอุ่นเครื่องที่ยุโรป ซึ่งนี่น่าจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำในช่วงชีวิตของผมที่เกิดมา ไม่เคยเห็นทีมชาติไทยได้ไปเตะที่ยุโรปมาก่อน 

แม้จะเจอกับทีมอย่างจอร์เจีย และเอสโตเนีย ที่ไม่ได้มีชื่อเรียงเรียงนามอะไรมากนักในยุโรปหรือในวงการฟุตบอลของโลก แต่พอขึ้นชื่อว่าเป็นทีมยุโรปก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าไทยอยู่ดี แม้จริงๆ แล้วจอร์เจีย ดูจะเป็นทีมที่เหนือกว่า แต่สำหรับกับเอสโตเนีย เป็นทีมที่อันดับแรงกิ้งฟีฟ่าต่ำกว่าเราด้วยซ้ำ

แต่นั่นแหละเมื่อเราทราบโปรแกรมว่าจะได้ไปอุ่นเครื่องที่ยุโรปเดือนตุลาคม ทุกคนก็ตื่นเต้น และก็รอดูทีมชาติไทยจะได้อัพเกรดตัวเองในเกมฟีฟ่าเดย์สักที ไม่ใช่เชิญแต่ทีมที่ไม่รู้จักมาอุ่นที่บ้านเรา หรือไปเยือนแค่ละแวกใกล้ๆเท่านั้น

การแถลงข่าวร่วมกันของ 3 บิ๊กไทยลีก เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา

จนเวลาผ่านมาถึงฟีฟ่าเดย์กันยายน ซึ่งตอนนั้นเป็นฟุตบอลคิงส์ คัพ จัดกันที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม มีการจับมือร่วมกันแถลงข่าวของ 3 บิ๊กไทยลีก ประกอบไปด้วย นายเนวิน ชิดชอบ จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, มาดามแป้ง ของการท่าเรือ และคุณปวิณ ภิรมย์ภักดี จากบีจี ปทุมฯ หลักใหญ่ใจความก็คือทั้งสามทีมจะขอเป็นสารตั้งต้นในการมาร่วมมือกันพาทีมชาติไทยไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นก็คือฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก

โดยทั้งสามทีมพร้อมที่จะเสียสละในสิ่งที่ตัวเองถนัด การท่าเรือ โดย มาดามแป้ง ก็เสียสละตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีม ใช้เงินในการบริหารจัดการ รวมทั้งอัดฉีดอะไรต่างๆ ก็ว่าไป 

บีจี ปทุมฯ ของคุณปวิณ มีความพร้อมในเรื่องของแคมป์เก็บตัว มีสนามฝึกซ้อมที่มีมาตรฐานสูงสุดของเมืองไทย ก็เสียสละที่จะให้ทีมชาติไทยได้มาเก็บตัวฝึกซ้อมในแต่ละครั้งที่มีโปรแกรมลงเตะ แถมยังมีนักกายภาพ มีโค้ชฟิตเนสให้ด้วย

ขณะที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ของลุงเนวิน ก็พร้อมที่จะยกเฮดโค้ชในเวลานั้นอย่าง มาซาทาดะ อิชิอิ ให้มาเป็นประธานเทคนิคทีมชาติไทย และเตรียมนั่งเฮดโค้ชทีมช้างศึกคนต่อไป แต่สุดท้ายก็ผิดแผน เพราะลุงอิขอบายก่อน แล้วกล่าวคำว่าซาโยนาระกับฟุตบอลไทยไปเป็นที่เรียบร้อย 

แต่อีกหนึ่งคีย์เวิร์ดสำคัญที่เกิดขึ้นในงานแถลงข่าววันนั้น นอกจากคำว่า พวกเราจะเสียสละเพื่อทีมชาติไทย แล้ว ก็คือคำว่าจากนี้ ทีมชาติไทยต้องมาก่อน ซึ่งทุกคนทดคำนี้เอาไว้ในใจ

เอาละกลับมาที่เกมฟีฟ่าเดย์ ภายหลังจากจบคิงส์ คัพ ไทยได้รองแชมป์ มาโน่ ได้ไปต่อ อิชิอิ กลับบ้าน ซึ่งแผนที่วางเอาไว้ตอนแรกถือว่าไม่เป็นไปตามนั้น

มีการประชุมร่วมกันของสโมสรไทยลีก ถึงโปรแกรมทีมชาติที่จะเตะในเดือนตุลาคม นั่นก็คือการไปยุโรปครั้งนี้ ซึ่งมีสโมสรที่ไม่เห็นด้วยกับการไปยุโรปครั้งนี้ และมองว่าทีมชาติไทยควรส่งชุดสำรอง หรือทีมชุดบีไปแทน เพื่อไม่ให้กระทบต่อนักเตะตัวหลักที่มีโปรแกรมทั้งไทยลีก และเอซีแอลรออยู่

สุดท้ายรายชื่อ 23 คนทีมชาติไทย ที่ออกมาก็กลายเป็นชุดผสมรวมดาวกระจาย ทั้งตัวหลัก ตัวสำรอง ดาวรุ่งจากยู23 มั่วไปหมด ซึ่งในตอนนั้นก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาแล้วรอบนึง แต่ก็ไม่คิดว่าพอลงไปเล่นจริง จะทำให้เสียงวิจารณ์นั้นกลับมาเท่าทวีคูณ เพราะทีมชาติไทยไปแบบไม่สมบูรณ์ และสู้เขาไม่ได้เลย เหมือนเอาชื่อเสียงของประเทศไปให้เขาย่ำยี มันจึงเป็นที่มาที่ทำให้เกิดประเด็นดราม่าต่างๆ นาๆ ขึ้น ซึ่งใครผิดใครถูก ก็ไปคิด วิเคราะห์ แยกแยะ กันเอาเอง

ปฏิทินบอลไทยในช่วงเวลานั้นที่ทำให้สโมสรไม่อยากปล่อยตัวหลักมาให้

แล้วถามว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน จริงๆ ปัญหามันคือการวางโปรแกรมไทยลีกนั่นแหละ แม้ว่าสโมสรที่ไม่ปล่อยตัวจะอ้างเรื่องกลัวนักเตะล้าเพราะมีโปรแกรมเอซีแอลรออยู่ แต่โปรแกรมเอซีแอลมันเตะกลางสัปดาห์ นักเตะน่าจะหายเหนื่อยทันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าโปรแกรมไทยลีกมันดันเตะกันในวันศุกร์ต่อทันที โดยเฉพาะบุรีรัมย์ กับ บีจี ปทุมฯ ซึ่งหลายคนบอกว่าทำไมไม่ขยับไปเตะเสาร์ ยุโรปเขาก็ทำกันแบบนี้ อีกทั้ง บุรีรัมย์ และ บีจี ในเอซีแอลกลางสัปดาห์หน้าเล่นในบ้านทั้งคู่ ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางอะไร

แต่ก็นั่นแหละมันมีเรื่องของทีมคู่แข่งในไทยลีกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้สุดท้ายมันก็สลับโปรแกรมไม่ได้ ส่วนทรู แบงค็อก มีโปรแกรมเจอชลบุรี ซึ่งชลบุรี ปล่อยนักเตะให้ทีมชาติมากที่สุด ก็เลยบอกว่าถ้าให้นักเตะไปต้องเลื่อนโปรแกรมไทยลีกที่เจอกับบียู ออกไปก่อน ซึ่งจริงๆ ถ้ามันเลื่อนได้ก็น่าจะเลื่อนไปเลยทุกคู่ จะได้ไม่มีปัญหา แต่สุดท้ายก็ติดตรงที่จะไปหาวันลงเตะยากอีก แต่จริงๆ ผมว่าเลื่อนไปเตะวันเสาร์นี่ง่ายสุด แต่ก็นั่นแหละทีมนู้นยอมทีมนี้ไม่ยอม สุดท้ายก็ออกมาแบบนี้

ประเด็นนี้ก็จบไป แม้ว่าแฟนบอลจะยังเถียงกันอยู่ใครผิดใครถูก มีการโยงไปถึงเรื่องเซฟไทยลีก เซฟทีมชาติไทยอีรุงตุงนังกันไปหมด และเมื่อสองวันก่อนก็มีดราม่าใหม่เกิดขึ้นมาอีก นั่นก็คือเรื่องการเดินทางของทีมชาติไทย จากจอร์เจีย ไปเอสโตเนีย ซึ่งไม่ได้บินตรง แต่เป็นการบินไปลงที่ลัตเวีย แล้วต่อรถบัสจากลัตเวียเข้าเอสโตเนีย ซึ่งต้องใช้เวลาร่วมๆ 10 ชั่วโมงในการเดินทาง แถมดราม่าที่ออกมาคือนักเตะไม่มีข้าวไม่มีน้ำกินระหว่างอยู่บนรถ ต้องขอแวะร้านฟาสฟู้ดข้างทางเพื่อรองท้อง

และกำหนดการขากลับจากเอสโตเนียมาไทย ทีมชาติไทยต้องไปลงเรือมาลงที่ฟินแลนด์ แล้วก็ต่อเครื่องที่ฟินแลนด์ไปลงกาตาร์ แล้วก็ขึ้นเครื่องจากกาตาร์มาลงที่ไทย ดูเป็นการเดินทางที่แสนทรหดมากๆ 

แต่กระนั้นทีมงานสมาคมฯ ก็ออกมาแก้ต่างแล้วว่า การเดินทางด้วยรถบัสเข้าเอสโตเนีย เป็นทางเลือกที่เจ้าภาพแนะนำว่าดีที่สุดเพราะไม่ต้องเสียเวลารอต่อเครื่อง 6 ชั่วโมง รวมทั้งเสียเวลาในการผ่าน ต.ม. เพราะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจให้บนรถเลย

ส่วนขากลับที่ต้องนั้งเรือไปฟินแลนด์ ก็เพราะไม่มีเครื่องบินตรงจากเอสโตเนีย มาไทยหรือไปกาตาร์ ถ้าจะบินก็ต้องกลับไปลัตเวีย ซึ่งย้อนไปย้อนมา การนั่งเรือมาลงฟินแลนด์แล้วต่อเครื่องไปกาตาร์ ก่อนบินมาไทยจึงเป็นการเดินทางที่ใช้เวลาน้อยที่สุด

ที่เกริ่นมานั้นเป็นประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้น ยังไม่ได้เข้าเรื่องเลยว่า แล้ววิธีที่จะทำให้ดราม่าทีมชาติไทยนั้นหมดไปต้องทำอย่างไร

จบดราม่าด้วยผลงาน \"ทีมชาติไทย\" ต้องเก็บ 6 แต้มเต็มใน 2 นัดแรกคัดบอลโลก

โอเค ดราม่านั้นจะหายไปเร็วที่สุดคงต้องขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันในเกมพบกับเอสโตเนียในคืนนี้ หากทีมชาติไทยชนะได้ เสียงกร่นด่าที่ผ่านมาก็อาจจะซาลงไป และก็อาจะทำให้แฟนบอลลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปได้บ้าง

แต่นั่นยังไม่ใช่การลบดราม่านี้ออกไปแบบหมดจดเพราะจริงๆ แล้วเป้าหมายสูงสุดของเราคือการลงเตะฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก นี่ต่างหากที่เป็นของจริง และเป็นสิ่งที่สามบิ๊กทีมไทยลีกบอกว่าจะร่วมมือกันทำเพื่อทีมชาติไทย 

ซึ่งการเตรียมทีมเพื่อฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ของเราเหมือนเปล่าประโยชน์ไปแล้วในการไปอุ่นเครื่องที่ยุโรปรอบนี้ เพราะเราไม่ได้ใช้นักเตะตัวหลักหลายคนที่จะใช้ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก มันเลยเหมือนกับว่าต้องมานับหนึ่งกันใหม่

แต่มองอีกมุมนึงนี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วนจะได้แก้ตัว แก้มือกันอีกครั้งในการทำเพื่อทีมชาติไทย ไม่ว่าจะเป็นสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ตอนนี้แม้จะใส่เกียร์ว่างรอเวลาหมดวาระ แต่ท่านยังสามารถทำอะไรเพื่อทิ้งทวนให้แฟนบอลไทยได้จดจำ บริษัทไทยลีก ก็ต้องจัดโปรแกรมให้มันดี สอดคล้องกับโปรแกรมทีมชาติ และให้เป็นที่พอใจกับสโมสร รู้ว่ายากแต่ก็ต้องทำให้ได้

มาดามแป้ง ในฐานะผู้จัดการทีม ก็จะต้องกลับมาทบทวนเรื่องการวางแผนการเตรียมทีมอีกครั้ง เช่นเดียวกับทุกสโมสรในไทยลีก ก็จะต้องร่วมมือกัน พร้อมปล่อยนักเตะที่ทีมชาติต้องการเพื่อมารับใช้ชาติโดยไม่มีข้อแม้ ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีใบสั่งห้ามเรียกนักเตะจากสโมสรนั้นสโมสรนี้มาติด ซึ่งมันก็ควรจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นเช่นกัน

ถ้าทุกภาคส่วนร่วมมือกันในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกหนนี้ ซึ่งสองนัดแรกเราจะเจอกับจีน วันที่ 16 พ.ย.66 ต่อด้วยการออกไปเยือนสิงคโปร์ วันที่ 21 พ.ย.นี้ ซึ่งเราต้องพยายามเก็บ 6 แต้มเต็มให้ได้ในสองเกมแรก หากหวังจะเข้ารอบต่อไป 

ซึ่งถ้าทุกคนร่วมมือกันจริงๆ ก็เชื่อว่าการจะชนะทั้ง 2 เกมแรก มันเป็นไปได้ และศรัทธาแฟนบอลก็จะกลับมาอีกครั้ง ดราม่า ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ก็จะหมดไป ในเมื่อผลลัพธ์ที่ออกมามันประสบความสำเร็จ

แต่ในทางกลับกันหากผลงานสองนัด โดยเฉพาะเกมแรกที่เจอจีนดันแพ้คาบ้าน เกมกับสิงคโปร์ได้แค่ 1 แต้มหรือแพ้กลับมา กระแสดราม่าครั้งนี้ก็จะกลับมาหลอนทุกคนอีกครั้ง

ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ดราม่าเกิดขึ้นกับทีมชาติไทยอีก ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 2 เกมแรกเดือนพฤศจิกายนนี้ ทุกคนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทีมชาติไทยคว้า 6 แต้มเต็มให้ได้

แต่ก่อนจะถึงเกมวันนั้น คืนนี้อย่าลืมเชียร์ทีมชาติไทย พบเอสโตเนีย ผมเชื่อว่าเราจะไม่แพ้เละเหมือนกับเกมแรก และเผลอๆ อาจจะมีเซอร์ไพรส์ด้วยซ้ำ รอติดตามพร้อมกัน 5 ทุ่มคืนนี้ 

ไทยแลนด์ ปู้นๆๆๆๆๆๆ

 

#ชิชาริเต่า

 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline