logo-heading

การเถลิงบัลลังก์ครั้งดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงกันเป็นอย่างมากทั้งผลงานของทีมที่ฉีกหนีคู่แข่งจนมีแต้มห่างจากอันดับ 2 มากถึง 16 คะแนน

 

หรือในมุมของนักเตะที่เหล่าตัวชูโรงอย่าง วิคเตอร์ โอซิมเฮน, ควิช่า ควารัตสเคเลีย หรือ คิม มิน-แจ กลายเป็นที่จับตามองของสื่อ และหลายๆ ทีมในยุโรปที่หวังดึงตัวไปร่วมทีม

ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่เดือนการเปลี่ยนแปลงในบางจุดทำให้ผลงานของ นาโปลี แตกต่างไปจากเดิม ความน่ากลัว หรือแข็งแกร่งที่เคยมีกลับหายไปคล้ายเป็นคนละทีม

ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราในวันนี้จะพาไปเจาะในแต่ละจุดว่ามีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้ขุนพล “อัซซูร่า” ไม่เปรี้ยงปร้างดังเดิม

การเปลี่ยนโค้ช

ประเด็นแรกที่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของทีมเลยคือการโบกมือลาตำแหน่งกุนซือของ ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ ทั้งที่เพิ่งพาทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนคว้าแชมป์ลีกมาครอง

นี่คือกุนซือที่ ออเรลิโอ เด เลาเรนติส เคยกล่าวว่าเป็นโค้ชที่เขาพยายามทาบทามมาอย่างยาวนาน จนสุดท้ายได้ตัวมาร่วมทีม และไม่ผิดหวังที่เฝ้ารอ เพราะเขาเองก็ตอบสนองด้วยความสำเร็จที่สโมสรตามหามาอย่างยาวนาน

ทว่าท้ายที่สุดการร่วมงานกันไม่ได้ยืดยาว สปัลเล็ตติ ประกาศลาออกหลังพาทีมคว้าแชมป์ เซเรีย อา แน่นอนตอนนั้นทั้งช็อก และเซอร์ไพรส์แฟนบอลไปตามๆ กัน

ซึ่งจากตอนแรกที่การคาดการณ์ว่าสาเหตุที่ สปัลเล็ตติ ขอลาออกจากตำแหน่งเพราะมีปัญหาไม่ลงรอยกับ เด เลาเรนติส ประธานสโมสร ทว่าท้ายที่สุดมีการเปิดเผยว่าแท้จริงนายใหญ่วัย 64 ปี แค่ต้องการพักผ่อนเท่านั้น ไม้ได้มีอะไรในกอไผ่แบบข่าวที่ออกมา

แต่กระนั้นหลังว่างงานไม่นาน สปัลเล็ตติ ก็ไปจับงานคุมทีมชาติอิตาลีในทันที 

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือทำให้โครงสร้างต่างๆ และความประติดประต่อกันเรื่องของ

แท็คติกมันไม่ได้ถูกต่อยอดไปจากเดิม ฟุตบอลเกมรุกดุดันที่เคยมี หรือเกมรับที่เหนียวแน่น กลายเป็นภาพเพียงชั่วพริบตา ทั้งที่นักเตะโครงหลักๆ ยังอยู่กับทีม

เคสของ นาโปลี มันบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าต่อจะให้เป็นนักเตะชุดเดียวกัน แต่ถ้าคนที่คอยกุมบังเหียน หรือคอยสั่งการเปลี่ยนไป แล้วใช้วัตถุดิบที่มีไม่เป็นก็ไม่อาจดึงศักยภาพออกมาได้

รูดี้ การ์เซีย เข้ามารับตำแหน่งกุนซือ นาโปลี เมื่อช่วงซัมเมอร์ 2023

การเข้ามาของ รูดี้ การ์เซีย 

หลังเสีย สปัลเล็ตติ ไป นาโปลี ตกเป็นข่าวกับกุนซือชื่อดังหลายคนมากๆ ทั้ง ยูเลียน นาเกลส์มันน์, หลุยส์ เอ็นริเก้ หรือ อันโตนิโอ คอนเต้ ทว่าท้ายที่สุดหวยมาออกที่ รูดี้ การ์เซีย โค้ชที่ประสบการณ์โชกโชนผ่านการคุมทีมมาแล้วมากถึง 8 สโมสร

ถามว่า การ์เซีย รู้จักบอลอิตาลีดีแค่ไหน ? เจ้าตัวเคยมาทำงานกับ โรม่า ในระหว่างปี 2013-2016 ซึ่งตอนนั้นพาทีมจบรองแชมป์ เซเรีย อา 2 ครั้ง ก่อนวนเวียนไปจับงานคุมทีมอีกหลายสโมสรทั้ง มาร์กเซย, โอลิมปิก ลียง ก่อนโยกมาทำงานในเอเชียกับ อัล นาสเซอร์

การเข้ามาของนายใหญ่ชาวฝรั่งเศสยังคงยึดระบบการเล่นเดียวกับ สปัลเล็ตติ คือ 4-3-3 ทว่าภาพรวมมีข้อแตกต่างกันเล็กน้อย โดยเฉพาะการเลือกนักเตะ หรือการเปลี่ยนตัวที่ดูจะขัดใจกับกองเชียร์ หรือบางทีนักเตะก็ไม่สบอารมณ์ตามไปด้วย

อย่างในเกมที่บุกไปเสมอ โบโลญญ่า 0-0 โอซิมเฮน แสดงอาการไม่พอใจหลังถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม หรือในรายของ ควิช่า ควารัตสเคเลีย  กับ มาเตโอ โปลิตาโล่ ที่ออกอาการฉุนเฉียวในเกมที่พบกับ เจนัว และ ฟิออเรนติน่า ตามลำดับ

และด้วยความไม่สม่ำเสมอของผลงาน ซีซั่นนี้ นาโปลี แพ้คาบ้านในเกมลีกไปแล้ว 3 นัด ต่อ ลาซิโอ, ฟิออเรนติน่า และ เอ็มโปลี ซึ่งถ้าทีมต้องการจะลุ้นความสำเร็จเกมในบ้านย่อมสำคัญ และจำเป็นต่อการเก็บชัยชนะให้ได้

เข้าใจว่าการเสีย คิม มิน-แจ ส่งผลต่อเกมรับของทีม เพราะเมื่อฤดูกาลก่อนแนวรับชาวเกาหลีใต้ช่วยไว้ได้จนกลายเป็นกองหลังยอดเยี่ยมของลีก แต่กระนั้นทีมก็ต้องมูฟออน และหาคนทดแทนให้ได้

วกกลับมาเรื่องของการเลือกตัวผู้เล่น มาริโอ รุย แบ็คซ้ายที่ซีซั่นก่อนผลงานอย่างแจ๋วกับทีม กลายเป็นตัวสำรองไม่ได้ถูกส่งลงสนามมากเท่าที่ควร เช่นเดียวกับเคสของ เยสเปอร์ ลินด์ตรอม ค่าตัว 25 ล้านยูโร จาด แฟร้งค์เฟิร์ต แต่กลายเป็นใช้งานไม่เป็น นักเตะเพิ่งได้ลงเล่นในเกมลีกไปเพียง 158 นาที เท่านั้น

เมื่อภาพรวมมันออกมาแบบนี้ เข้าใจว่าเกมที่ดีก็มี แต่เกมที่แย่มันมากกว่า แชมป์เก่าที่มาตรฐานตกลงแบบเหลือเชื่อ เสียคะแนนแบบรายทางเยอะมาก แม้จะยังคงอยู่หัวตาราง แต่การตามหลังจ่าฝูงไกลถึง 10 แต้ม คงไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก

ฉะนั้นไม่แปลกที่ การ์เซีย จะอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น

วอลเตอร์ มาซซารี กุนซือใหม่ แต่หน้าเก่าของ นาโปลี

วนกลับมาใช้ มาซซาร์รี่

หลังแยกทางกับ รูดี้ การ์เซีย มากุนซือดังๆ ที่กำลังว่างงานตกเป็นข่าวด้วยหลายรายทั้ง เกรแฮม พ็อตเตอร์ หรือ อันโตนิโอ คอนเต้ รวมไปถึงคนที่ตกเป็นข่าวหนาหูสุดคือ อิกอร์ ทูดอร์ แต่สุดท้ายไม่มีใครเข้าเป้า

แต่ ออเรลิโอ เด เลาเรนติส กลับสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการหันไปดึง วอลเตอร์ มาซซาร์รี่ กลับมาร่วมงานด้วยอีกครั้ง ภายหลังเคยคุมทีมในช่วงระหว่างปี 2009-2013 มาแล้ว

ตามสถิตินี่คือกุนซือที่คุม นาโปลี ในยุค เด เลาเรนติส นานที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก เอดี้ เรย่า ทว่าถ้าดูจากโปรไฟล์ช่วงหลังต้องยอมรับว่าผลงานของเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นับตั้งแต่ออกจากทัพ เนเปิลส์ ไปก็ไม่ประสบความสำเร็จอะไรอีกเลย แถมส่วนใหญ่คือการโดนปลดออกจากตำแหน่งระหว่างซีซั่นด้ว

ผลงานกับทีมล่าสุดอย่าง กายารี่ คือหลักฐานที่บอกว่า มาซซาร์รี่ เริ่มหมดมุกคือคุมทีมไปทั้งหมด 35 เกม มีเปอร์เซ็นตชนะแค่เพียง 20% เท่านั้น ก่อนว่างงานมาตั้งแต่กลางปี 2022

ทว่าถ้ามองในแง่ดีคือการได้คนที่รู้จักทีม และเคยพา นาโปลี คว้าแชมป์ กลับมาแแก้ขัดในระยะสัญญาสั้นๆ เพียงจบฤดูกาล และไม่มีออปชั่นขยายออกไปแต่อย่างใด 

แต่ในอีกมุมที่น่าห่วงคือฟุตบอลของ มาซซาร์รี่ จะเก่าแก่ และล้าสมัยเกินไปหรือเปล่า อีกทั้งสไตล์ของนายใหญ่รายนี้คือการใช้งานปราการหลัง 3 คน และใช้ระบบแบบนี้มาตลอด ซึ่งขัดกับ นาโปลี ในปัจจุบันที่ยืนในระบบ 4 กองหลั

อย่างไรก็ตาม มาซซาร์รี่ ย้ำชัดแล้วว่าเขาศึกษาระบบของ สปัลเล็ตติ มาเป็นอย่างดี และรู้ว่า นาโปลี ในตอนนี้ควรจะเล่นออกมาในรูปแบบใด

แน่นอนว่าเปลี่ยนกุนซืออีกครั้งของ นาโปลี ถือว่าน่าสนใจ และเป็นการเดิมพันที่ค่อนข้างสูง เพราะด้วยการออกสตาร์ทที่ไม่เป็นดั่งหวัง ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในส่งผลต่อภาพรวมที่ออกมา

จากแชมป์เก่าที่ฟอร์มสวยหรูเมื่อซีซั่นก่อน สู่ปัญหาที่จู่ๆ ก็เข้ามาไม่เว้นระยะให้หายใจ

แต่ด้วยชื่อชั้นเชื่อว่า นาโปลี ยังคงเป็นทีมที่สามารถคาดหวังได้ทั้งเรื่องของความสำเร็จ และความดุดันเหมือนครั้งอดีต

เพียงแต่อาจต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยเพื่อกลับไปยืน ณ จุดเดิมอีกครั้ง 

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline