logo-heading

วงการฟุตบอลไทยยุคปัจจุบันเริ่มมีนักเตะฝีเท้าดีออกไปค้าแข้งในลีกต่างแดนมากขึ้น อันเนื่องมาจากมีลีกมีการแข่งขันที่เข้มข้น และให้แสดงศักยภาพยกระดับฝีเท้าได้ ซึ่งแน่นอนว่าจุดหมายแรกของนักเตะหลายๆ คนที่ปรารถนาไปเล่นให้ได้สักครั้งคือในศึก “เจลีก”

“เจลีก” ถือว่าเป็นแหล่งส่งออกนักเตะชั้นนำมากมาย โดยมีเหล่าแมวมองสโมสรทั่วทั้งยุโรปมองว่าที่นี่อุดมไปด้วยนักเตะชั้นดี และส่วนมากมีเริ่มมาสเกาท์ฝีเท้าตั้งแต่ระดับเยาวชนสโมสร หรือแม้กระทั่งในระดับมหาวิทยาลัย

เพราะมองว่านักเตะญี่ปุ่นมีศักยภาพที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ชาติอื่น คุ้มค่าทั้งด้านฝีเท้านักเตะ และค่าตัว-ค่าเหนื่อย อยู่ในเรทที่ไม่ได้แพงมาก สามารถนำไปต่อยอดฝีเท้าและทำกำไรได้มหาศาล

และอีกหนึ่งข้อดีก็คือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้กับนักเตะไทยไปสร้างชื่อมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีราทร บุญมาทัน, ธีรศิลป์ แดงดา, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ หรือล่าสุดอย่าง สุภโชค สารชาติ และ เอกนิษฐ์ ปัญญา

หากนึกถึงหนึ่งในนักเตะญี่ปุ่นที่พัฒนาตั้งแต่ระดับเยาวชนก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ต่อยอดฝีเท้าก้าวไปลุยในลีกชั้นนำของยุโรปมากมายหลายสโมสร จนกลายเป็นแข้งเบอร์ต้นๆ ของประเทศ และเป็นแรงบันดาลใจของเด็กเอเชียถึงปัจจุบัน นั่นคือ ชินจิ คากาวะ อดีตแนวรุกทีมชาติญี่ปุ่น

คากาวะ เคยประสบความสำเร็จคว้าแชมป์กับสโมสรดังทั้ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือผ่านประสบการณ์กับหลายสโมสรทั่วทั้งยุโรปมากมายรวมแล้วกว่า 350 นัด และเคยถูกยกเป็นแข้งเบอร์หนึ่งของญี่ปุ่น รวมถึงทวีปเอเชีย ที่สามารถยกระดับสู่เวทีระดับโลกได้

ชินจิ คากาวะ ช่วงที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2012/13

การที่แข้งซูเปอร์สตาร์ไปค้าแข้งต่างแดน หลายคนอาจมองเป็นเรื่องการตลาดเป็นหลักเสียมากกว่า แต่ในเมื่อสโมสรตัดสินใจเลือกตัวมาร่วมทีมแล้ว มันก็คือโอกาสสำคัญในการโชว์ศักยภาพเต็มที่ หากคุณปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรม ภาษา ทำได้ตามสิ่งที่โค้ชต้องการ คุณก็มีโอกาสยึดเป็นแข้งขุมกำลังหลักเช่นกัน

สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เขามาสู่ระดับนี้ได้แน่นอนว่าต้องมีในเรื่องของ ฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม, พรสวรรค์ที่ควบคู่กับพรแสวง, ความอดทน และทัศนคติที่ดี

ชินจิ คากาวะ ในสีเสื้อทัพ "ซามูไรบลูส์"

เมื่อวันที่ 10-11 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ชินจิ คากาวะ มีโอกาสได้มาร่วมคลินิกสอนฟุตบอลที่ประเทศไทย ถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับเหล่าบรรดาเยาวชนรุ่นอายุ 9-13 ปี และรุ่นอายุ 15-18 ปี แบบบรรยากาศเป็นกันเองไม่ถือตัว

แม้ทั้ง 2 วันจะมีสภาพอากาศที่ร้อน แต่เขาก็ยังมีสีหน้าแววตายิ้มแย้ม และมีความจริงจังเสมอ

“ณ ตอนนี้มีนักเตะต่างชาติที่มาเล่นในไทยค่อนข้างเยอะ ด้วยระบบต่างๆ มองว่าช่วยให้นักเตะไทยเริ่มยกระดับได้มากขึ้น สิ่งที่ควรให้ความสำคัญนั่นคือการพัฒนาบุคลากรการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีก็จะมีนักเตะที่ดีเพิ่มเข้ามาอีกแน่นอน”

นี่คือคำถามแรกที่ ชินจิ คากาวะ เผยกับสื่อที่มาสัมภาษณ์ถึงคำถามที่ว่าหากไทยพัฒนาระบบฟุตบอลเทียบเท่ากับญี่ปุ่นใช้ระยะเวลานานแค่ไหน

ในด้านนักเตะไทย คากาวะ ยังได้ตอบเพิ่มเติมต้องพัฒนาตรงจุดไหนถึงสามารถอยู่ระดับเดียวกันกับได้ หรือนักบอลญี่ปุ่นที่ไปเล่นในยุโรป และให้ข้อคิดสิ่งที่ควรพึงมี สำคัญที่สุดคือ “ความเชื่อมั่นในตัวเอง และกล้าที่จะท้าทายตัวเอง”

ชินจิ คากาวะ ร่วมกิจกรรมเปิดคลินิกสอนฟุตบอล ที่ประเทศไทย

“สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ย้อนไปเมื่อช่วง 30 ปีที่แล้วก็ไม่เคยมีนักเตะญี่ปุ่นคนไหนออกไปเล่นต่างประเทศ แต่ใน 10 ปีที่ผ่านมาอย่างของไทย ยกตัวอย่าง ชนาธิป ที่มีโอกาสมาเล่นที่ เจลีก ต่างคนต่างเริ่มข้ามน้ำข้ามทะเลมา"

“คิดว่านักเตะหน้าใหม่ๆ ต้องเชื่อมั่นในตัวเองและต้องกล้าท้าทายตัวเองโดยการลองอะไรใหม่ๆ มีความฝัน มีความเชื่อมั่น ผมเชื่อว่าถ้านักเตะไทยมีสิ่งเหล่านี้มองว่าวงการฟุตบอลไทยจะพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้ถ้ามีนักเตะฝีเท้าดีมากขึ้นจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ ในอนาคต”

นอกจากนี้การที่ทีมชาติไทยกำลังจะได้ มาซาทาดะ อิชิอิ เข้ามาคุมทีมก็มองว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะ “มาซะ” เป็นโค้ชที่มีประสบการณ์สูง เคยพา คาชิม่า แอนท์เลอร์ส คว้าแชมป์มาแล้ว เขาเป็นโค้ชที่ดี คิดว่าการเข้ามาของเขาจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ทั้งหมดนี้ก็คือข้อคิดดีๆ จากนักเตะที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวตั้งแต่ช่วงต้นของอาชีพการค้าแข้ง จนถึงช่วงปลายอาชีพการค้าแข้ง แน่นอนว่าก็ต้องพบเจอกับประสบการณ์หรือแนวคิดหลายสิ่งอย่าง แล้วนำมาถ่ายทอดต่อให้กับนักเตะรุ่นใหม่ๆ เป็นประโยชน์และนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้ยกระดับให้วงการฟุตบอลไทยเติบโตแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

CHUNKA

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline