logo-heading

โดยเกมนี้นักเตะ หงส์แดง หลายๆคน กลับคืนสู่ฟอร์มเก่งอีกครั้ง ขนาดตัวสำรองที่ลงมาไม่นานอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ทำประตูได้เช่นกัน

จริงๆแล้วก็แอบมีติติงหน่อยๆ เรื่องการเสียประตู เพราะการโดนยิงตรงกรอบแค่ 1 ครั้ง ก็โดนตีไข่แตกทันที นับว่าเกมรับก็ยังมีปัญหาให้แก้กันต่อไป เอาเป็นว่าแมตช์นี้มีประเด็นอะไรให้พูดถึงกันบ้าง ไปติดตามดูกันหน่อยดีกว่า

- การจัด 11 ผู้เล่นตัวจริงของ ลิเวอร์พูล

ถึงแม้ว่า คาราบาว คัพ จะเป็นถ้วยเล็กที่สุดของเกาะอังกฤษ แต่กระนั้น ลิเวอร์พูล ก็ให้ความมุ่งมั่นกับรายการนี้มากพอสมควร โดยเห็นได้จากการจัดทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เลือกใช้นักเตะตัวหลักลงสนามหลายต่อหลายคน นำโดย เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, โดมินิค โซบอสไล และ ดาร์วิน นูนเญซ เป็นต้น

มีเพียงพวก โมฮาเหม็ด ซาลาห์, อลิสซอน เบ็คเกอร์, หลุยส์ ดิอาซ และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่มีชื่ออยู่ในแผง 11 ผู้เล่นตัวจริง ที่เหลือเรียกว่าชุดใหญ่เต็มสตรีมเหมือนกัน ถ้าจะมีดาวรุ่ง คงมีเพียง จาร์เรลล์ ควอนซาห์ เท่านั้น ที่ได้ลงเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็ก คู่กับ พี่เบิ้ม

แต่ขณะที่ เวสต์แฮม ก็ไม่ได้จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบมากเท่าไหร่ ต่อให้ถ้วยนี้จะสำคัญกับพวกเขาเหมือนกัน โดยทาง เดวิด มอยส์ เลือกดรอป เจมส์ วอร์ด-เพราส์ กับ ลูคัส ปาเกต้า และ ให้โอกาสกับ ซาอิด เบนราห์มา รวมถึง ปาโบล ฟอร์นัลส์

ถึงแม้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ชุดใหญ่แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้เล่นชุดนี้ ก็ขึงใส่ เวสต์แฮม แบบไม่ให้ลืมหูลืมตา ปูพรมบุกเข้าใส่ทีมเยือนอยู่ฝั่งเดียว โดย 45 นาทีแรก หงส์แดง มีสถิติได้ครองบอบมากถึง 66 เปอร์เซ็นต์ โอกาสเข้าทำมากถึง 11 ครั้ง ผิดกับ ขุนค้อน ที่ไม่มีโอกาสยิงเลยสักครั้งเดียว 

- โซบอสไล ยิงปลดล็อคความกดดัน

ตลอดช่วง 2-3 เกมที่ผ่านมา โซบอสไล ถูกตั้งคำถามเรื่องฟอร์มการเล่นเหมือนกัน ว่าทำไมมาตรฐานถึงตกลงไป ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามบ่อยๆ โดยเฉพาะเกม แดงเดือด ที่เสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0 ซึ่งเกมนั้นเขามีสถิติ xA หรือ จำนวนสถิติแอสซิสต์ที่คาดหวัง มีเพียงแค่ 0.03 เท่านั้น และ สูญเสียการครองบอลไปถึง 15 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม โซบอสไล กลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้ง เขาทำหน้าที่เป็นจอมทัพ ขับเคลื่อนเกมให้กับทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งการสวิชชิ่งเกม, การแทงทะลุช่อง, การเติมเข้าสู่กรอบเขตโทษ และ การไล่เพรสซิ่งอันแสนดุดัน

และ ที่ดีกว่านั้นคือ โซบอสไล เป็นคนยิงประตูขึ้นนำให้กับ ลิเวอร์พูล 1-0 จากการซัดไกล นอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งเป็นจรวดเสียบเสาเข้าไปอย่างเฉียบคม นับเป็นประตูที่ 4 ของเขา ในสีเสื้อ ลิเวอร์พูล และ เป็นประตูที่ 3 ที่มาจากการยิงไกลนอกกรอบเขตโทษ

- ครึ่งหลังมีถึง 5 ประตูเกิดขึ้น

ในช่วง 45 นาทีหลัง ต้องบอกว่า เกมยังคงสนุกตื่นเต้น แต่อาจจะตื่นเต้นอยู่ฝั่งเดียว เมื่อ ลิเวอร์พูล ก็ยังคงยำใหญ่ใส่ เวสต์แฮม แบบไม่ให้ลืมตาอ้าปาก เพราะการยิงประตู 2 จะทำให้พวกเขาผ่อนคลายความกดดัน และ สามารถเก็บตัวหลักไปพัก เพื่อไว้รอเจอกับ อาร์เซน่อล ศึกชิงจ่าฝูงในช่วงสุดสัปดาห์นี้

และ ประตูที่ 2 ที่รอคอยก็มาถึง เมื่อ ลิเวอร์พูล มาบวกสกอร์เพิ่มจากจังหวะที่ ดาร์วิน นูนเญซ จ่ายทะลุช่องมาให้กับ เคอร์ติส โจนส์ ถึงแม้มุมจะแคบ แต่ก็ยังอุตส่าห์ยิงลอดขา อัลฟงส์ อเรโอล่า เข้าไปซุกตาข่ายได้ พอนำ 2-0 ไม่นาน คล็อปป์ ก็ตัดสินใจถอดพวก โซบอสไล, วาตารุ เอ็นโด และ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ออกจากสนามทันที

ทว่าก็ส่งอาวุธหนักลงมาแทนเพื่อยืดเส้นยืดสายอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งหลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็มารัวประตูใส่ เวสต์แฮม โดยลูก 3-0 มาจากการยิงของ โคดี้ กัคโป ถึงแม้จะโดนตีไข่แตกไล่มา 3-1 แต่ ลิเวอร์พูล ก็มายิงอีก 2 ลูก จาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในจังหวะที่เปลี่ยนจากรับเป็นรุก และ ปิดท้ายด้วยการลากพามาคนเดียวของ เคอร์ติส โจนส์ 

จบเกม เคอร์ติส โจนส์ ได้รางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครอง ซึ่งตอนนี้นับเป็นช่วงเวลาที่ต้องรีบโชว์ของให้เห็น เนื่องจากว่า อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ บาดเจ็บหัวเข่า ต้องพักยาวถึงช่วงปีใหม่ ดังนั้นนี่คือช่วงเวลาที่ โจนส์ จะได้รับโอกาสมากกว่าเดิม

- แอนฟิลด์ ยังเป็นนรกของทีมเยือน

ถึงแม้ ลิเวอร์พูล จะเสียสถิติชนะรวดทุกนัด เวลาลงเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ ซีซั่นนี้ จากการเสมอกับ ปีศาจแดง เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่กระนั้น หงส์แดง แสดงให้เห็นอีกครั้ง นี่คือ "ขุมนรกของทีมเยือน" อย่างแท้จริง

แต่กระนั้น ถ้าจะหาจุดอ่อนของ ลิเวอร์พูล กับการเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ ก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆคือ "เกมรับ" เพราะถึงแม้ เวสต์แฮม จะมีโอกาสยิงประตูแค่ 1-2 ครั้ง และ เพียงแค่การโดนยิงตรงกรอบครั้งเดียวของ ขุนค้อน จาก จาร์ร็อด โบเว่น ก็เป็นประตูตีไข่แตกทันที 

แต่อย่างที่บอกครับ ว่า ที่นี่แอนฟิลด์ ต่อให้จะโดนยิงประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 3-1 ทว่านักเตะ ลิเวอร์พูล ไม่มีเล่นแบบปิดเกม เพื่อรักษาสกอร์ แต่กลับเปิดเกมรุกเข้าใส่ เวสต์แฮม อยู่เหมือนเดิม ก่อนจะซัดเพิ่มอีก 2 ประตู จบเกมเป็น หงส์แดง เอาชนะไปได้ 5-1 ตีตั๋วผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ คาราบาว คัพ ได้สำเร็จ

ส่วน เวสต์แฮม ของ เดวิด มอยส์ ก็ต้องกลับบ้านไปอย่างชอกช้ำ และ นี่ถือว่าเป็นความพ่ายของ เดวิด มอยส์ อีกครั้ง เวลาบุกมาเยือนถิ่นแอนฟิลด์ เพราะตั้งแต่ที่เขาทำหน้าที่กุนซือมา ไม่เคยพาทีมบุกมาเอาชนะที่ แอนฟิลด์ ได้เลย โดยสถิติ 21 เกม แพ้ไปถึง 14 นัด และ เสมออีก 7 นัด

- ลิเวอร์พูล จับสลาก เจอใครในรอบรองชนะเลิศ ?

การเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ คาราบาว คัพ ของ ลิเวอร์พูล นับว่าพวกเขากลายเป็นเต็ง 1 ในรายการนี้ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่กระนั้นการจะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ หงส์แดง จับสลากไปพบกับ ฟูแล่ม ที่เพิ่งเฉือนชนะมาแบบหืดจับ 4-3 ขณะที่อีกสายเป็น เชลซี พบกับ มิดเดิ้ลส์โบรห์

นั่นหมายความว่าถ้าทุกอย่างมาตามนัด ก็อาจได้เห็นรีแมตช์นัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ เมื่อ 2 ปีก่อน ที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์จากการดวลจุดโทษเอาชนะ เชลซี มาได้ 11-10 หลังเสมอกันมา 0-0 แต่ถ้าหวยไปออกไปเป็น ฟูแล่ม ปะทะ มิดเดิ้ลส์โบรห์ ก็คงเป็นเรื่องราวที่พลิกล็อคที่สุดในโลก

ซึ่งการแข่งขัน คาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ จะแข่งขันกัน 2 นัด ในระบบ เหย้า-เยือน ซึ่งเลกแรกจะเตะกันวันที่ 8 มกราคม นี้ ส่วนเลกสองฟาดแข้งกันในวันที่ 22 มกราคม โดย ลิเวอร์พูล จะได้เล่นที่แอนฟิลด์ ก่อนจะบุกไปเยือน คราเวน ค็อตเทจ ในนัดที่ 2

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline