logo-heading

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2558 นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของสโมสรการท่าเรือ เอฟซี หนึ่งในสองทีมระดับตำนานที่อยู่คู่กับวงการฟุตบอลไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แถมยังเป็นทีมหน่วยงานรัฐวิสหกิจที่ยังสามารถโลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุดของเมืองไทยได้อย่างสง่าผ่าเผยอีกด้วย

ส่วนสโมสรที่เป็นทีมองค์กร หรือทีมหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ต่างก็ล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว บ้างก็ยุบสโมสรไปเอง บ้างก็ขายสิทธิ์ให้สโมสรอื่นไป บ้างก็อยู่ในลีกรองต่างๆ

ในไทยลีกที่เป็นลีกสูงสุดเองตอนนี้มีทีมเก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยอดีตกาลอยู่สองทีม หนึ่งคือการท่าเรือ เอฟซี อย่างที่บอกไป อีกหนึ่งก็คือ โปลิศ เทโร เอฟซี ที่ก็เปลี่ยนชื่อทีมมาจากเดิมคือ บีอีซี เทโร ศาสน ที่ตอนนี้ก็เหมือนใกล้ถึงวันอวสานไปทุกที ไม่รู้จบฤดูกาลนี้จะเป็นอย่างไร

การท่าเรือ เอฟซี โชคดีที่มี "มาดามแป้ง" เป็นประธานสโมสร

ย้อนกลับมาที่วันที่ 12 ก.พ.58 ฤดูกาล 2015 ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสโมสรการท่าเรือ เอฟซี นั่นคือวันที่ทีม "สิงห์เจ้าท่า" นั้นได้คนที่ชื่อ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ เข้ามาเทคโอเวอร์ เป็นนายทุนใหญ่ และได้สิทธิ์บริหารจัดการทีมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การการทำเอ็มโอยูร่วมกันกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย เจ้าของสิทธิ์แต่เดิมในการส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันไทยลีก

ซึ่งก่อนเปิดฤดูกาล 2015 ถ้าใครทันและยังจำกันได้ ทีมการท่าเรือ ตอนนั้นประสบปัญหาเรื่องงบประมาณในการทำทีมเป็นอย่างมาก เนื่องจากขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จำได้ว่าช่วงปรีซีซั่น ตอนนั้น "น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม เป็นโค้ชใหญ่ นักเตะที่มาซ้อมเตรียมทีมก่อนเปิดฤดูกาล ปรากฏว่าไม่ได้เงินเดือน "น้าฉ่วย" ต้องประกาศขอบริจาคช่วยกันลงขันเพื่อทำให้ทีมนั้นสามารถลงเล่นในศึกไทยลีกได้

ซึ่งตอนนั้นถ้าไม่สามารถจัดการเรื่องเงินทำทีม รวมทั้งค่าจ้างนักเตะที่ติดค้างกันอยู่ได้ ทีมการท่าเรือ ก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันไทยลีกในฤดูกาลนั้น

แต่เดชะบุญเหมือนฟ้ามาโปรด ก่อนเปิดฤดูกาลไม่กี่สัปดาห์ ก็ได้รับข่าวดีว่า "มาดามแป้ง" ที่ตอนนั้นเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย อยู่แล้วด้วย ทำให้แฟนบอลรู้จักกันดี มีข่าวว่าสนใจจะซื้อสโมสรไทยลีกมาบริหาร และก็เผอิญกับว่าทีมการท่าเรือ กำลังต้องการนายทุนใหม่เข้ามาพอดี บวกกับมาดามแป้ง เองก็ผูกพันกับถิ่นคลองเตย มันก็มาประจวบเหมาะกันพอดี

จึงเป็นที่มาของการเข้ามาซื้อสิทธิ์การทำทีมของการท่าเรือ เอฟซี ในส่วนของงานบริหาร ซึ่งเป็นการทำเอ็มโอยูร่วมกันกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ครั้งแรกนั้นคือ 5 ปี ก่อนจะมีการต่อสัญญาจนมาถึงปัจจุบัน และมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ก่อนที่ไทยลีกจะเปิดฤดูกาล 1 วัน โดยใช้ชื่อสโมสรว่า "การท่าเรือ เมืองไทยประกันภัย เอฟซี"

การท่าเรือ เอฟซี โชคดีที่มี "มาดามแป้ง" เป็นประธานสโมสร

แต่ฤดูกาลแรกของการท่าเรือ เอฟซี ภายใต้การนำของ "มาดามแป้ง" ก็ไม่ได้โสภาสถาพรอย่างที่คิด ซึ่งก็เป็นไปตามที่คุณเนวิน ชิดชอบ เคยบอกไว้ตอนที่มาดามแป้งเข้าสู่วงการไทยลีกว่า "ขอต้อนรับสู่นรกไทยลีก" และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ด้วยความที่ใหม่สำหรับการบริหารทีมสโมสรฟุตบอลอาชีพ บวกกับศักยภาพของตัวผู้เล่น และปัจจัยหลายๆ อย่าง ทำให้ปีแรกที่ "มาดามแป้ง" เข้ามาทำทีมการท่าเรือ นั้น กลับไม่ประสบความสำเร็จ ทีมต้องตกชั้นไปสู่ไทยลีก 2 หรือดิวิชั่น 1 ในเวลานั้น ซึ่งฤดูกาลเดียว ทีมการท่าเรือ ใช้โค้ชไปถึง 5 คน และคนสุดท้ายก็คือ มาซาฮิโระ วาดะ กุนซือชาวญี่ปุ่น

แต่เพียงฤดูกาลเดียวทีมการท่าเรือ ก็สามารถกลับขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง ในฤดูกาล 2016 ซึ่งก็เป็น วาดะ กุนซือชาวญี่ปุ่นนี่แหละ ที่สามารถพาทีมกลับขึ้นมาได้ และก็อยู่ในศึกไทยลีกจนมาถึงตอนนี้

โดยความสำเร็จสูงสุดของการท่าเรือ ก็คือการคว้าแชมป์ "ช้างเอฟเอ คัพ" ฤดูกาล 2019 ได้สิทธิ์ไปเพลย์ออฟเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2020 โดยตอนนั้นคุมทัพโดย "โค้ชโชค" โชคทวี พรหมรัตน์ ที่ตอนนี้ก็กลับมาเป็นสตาฟฟ์โค้ชอยู่ในทีมด้วย

การท่าเรือ เอฟซี โชคดีที่มี "มาดามแป้ง" เป็นประธานสโมสร

แต่เป้าหมายสูงสุดของ "มาดามแป้ง" ก็ยังไม่บรรลุผล นั่นก็คือการเป็นแชมป์ไทยลีก ซึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่ทีมการท่าเรือ เอฟซี ต้องรอคอยต่อไป แต่ในฤดูกาลนี้ก็ถือว่ามีลุ้นเหมือนกัน ยังเกาะกลุ่มทีมนำบนหัวตาราง และผลงานก็กำลังไปได้สวยด้วย

ตอนนี้หน้าที่การบริหารทีมการท่าเรือของ "มาดามแป้ง" นั้นจบลงแล้ว ตามระยะเวลาที่มีการนับมาอย่างละเอียดก็คือ 3,238 วัน ตลอด 8 ฤดูกาลครึ่งที่ผ่านมา แม้ทีมจะยังไม่ประสบความสำเร็จสูงสุดอย่างที่แฟนบอลสิงห์เจ้าท่าหวังไว้ แต่เชื่อเลยว่าไม่มีแฟนบอลการท่าเรือ คนไหนที่ไม่รักประธานสโมสรแสนสวยและใจใหญ่คนนี้

แม้บางทีผลงานจะไม่ค่อยดี มีบางสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ถูกใจแฟนบอล โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนโค้ช ที่มีอยู่ช่วงนึงก็จะวนไปวนมา เซอร์เด็จบ้าง, โค้ชอู๊ด บ้าง, โค้ชโชค บ้าง ลองต่างชาติบ้าง นู่นนี่นั่น แต่สุดท้ายไม่ว่าจะอย่างไรเชื่อแฟนบอลการท่าเรือ ก็มีความสุขที่ประธานสโมสรของพวกเขาชื่อ "นวลพรรณ ล่ำซำ"

การท่าเรือ เอฟซี โชคดีที่มี "มาดามแป้ง" เป็นประธานสโมสร

รวมทั้งบรรดานักเตะ สตาฟฟ์โค้ช หรือเจ้าหน้าที่ภายในทีมเชื่อว่าทุกคนก็แฮปปี้เช่นเดียวกัน ที่มีนายใหญ่คือ "มาดามแป้ง" เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีข่าวว่านักเตะ หรือโค้ชถูกค้างค่าเหนื่อย หรือข่าวเสียๆ หายๆ โดยเฉพาะภาพเก่าในอดีต ที่แฟนบอลการท่าเรือ ขึ้นชื่อเรื่องความดุดันในการเชียร์ หรือเกเรนอกสนาม ตอนนี้เรียกว่าหายไปหมดแล้ว ซึ่งทั้งหมดส่วนนึงก็เป็นเพราะการมาของผู้หญิงคนนี้

ที่ผ่านมาถึงตอนนี้หลายคนคงจะรู้สึกว่าจะชมหรืออวยอะไรกันนักหนา จะว่าอวยหรือชมอะไรก็ได้ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ผมอยากเขียนถึง "มาดามแป้ง" ในฐานะประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี จริงๆ 

ที่ถ้าหากว่าย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว "มาดามแป้ง" ไม่ได้เข้ามาทำทีมการท่าเรือ คุณคิดว่าตอนนี้สโมสรการท่าเรือ จะเป็นอย่างไร บางทีอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไปตั้งแต่ฤดูกาล 2015 แล้วด้วยซ้ำ หรือต่อให้อยู่รวดมาได้ ถึงวันนี้ก็อาจจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากทีมเก่าแก่อีกทีม ที่กำลังมีปัญหาอยู่ตอนนี้

การท่าเรือ เอฟซี โชคดีที่มี "มาดามแป้ง" เป็นประธานสโมสร

หลังจากนี้หน้าที่การบริหารสโมสรการท่าเรือ เอฟซี ก็จะอยู่ที่นายสาระ ล่ำซำ (คนซ้าย) ที่จะมาเป็นประธานสโมสรกิตติมศักดิ์ และ นายเฉลิมโชค ล่ำซำ (คนขวา) ที่มารับตำแหน่งเป็นประธานสโมสร การท่าเรือ เอฟซี คนใหม่ 

ส่วน "มาดามแป้ง" นั้นมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติรออยู่ นั่นก็คือการชิงเก้าอี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ในปีหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้มาดามแป้งโชคดีก็แล้วกัน!! กับเส้นทางที่เลือกในอนาคตหลังจากนี้

สุดท้ายก็ได้แต่หวังว่า ผมจะได้เขียนเรื่อง ฟุตบอลไทย โชคดี ที่มี "มาดามแป้ง" เป็นนายกสมาคมฯ ในอนาคตก็แล้วกัน 

 

#ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline