logo-heading

ต่อให้เจ็บไป 4-5 เดือน แต่ไม่ต้องใช้เวลาเคาะสนิมสนานเลย เดอ บรอยน์ ยังคงเป็นตัวบัค ที่เก่งเหนือกว่าใครๆ ซึ่งเกมตบ สาลิกาดง ถึงถิ่นก็ทำให้เห็นว่าเขาคือของจริง !! แต่ชัยชนะนัดนี้ ก็ยังมีประเด็นอื่นให้พูดถึง โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่มีเรื่องให้ปวดหัวอีกแล้ว เอาเป็นว่าจะมีเรื่องไหนน่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันครับ

- นิวคาสเซิ่ล เกือบออกนับตั้งแต่นาทีแรกของเกม

แค่เริ่มเกมมาประมาณ 1 นาที 30 วินาที ฝั่งเจ้าบ้าน นิวคาสเซิ่ล เกือบได้ประตูขึ้นนำแล้ว จากจังหวะที่ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ปาดเข้ามาให้กับ ฌอน ลองสตาฟฟ์ ยิงผ่านมือ เอแดร์ซอน เข้าไปซุกตาข่าย แต่กกระนั้น VAR มีการเช็คออฟไซด์ และ ตัดสินว่า อิซัค ออกตัวล้ำหน้าไปก่อน ทำให้ถูกริบสกอร์ และ ยังเสมอกันอยู่ 0-0

ถึงแม้ แมนฯ ซิตี้ จะไม่เสียประตู แต่ก็มีข่าวร้ายเกิดขึ้น เพราะในจังหวะที่ออกมาเพื่อป้องกันลูกยิงของ ฌอน ลองสตาฟฟ์ เกิดไปปะทะกับ ไคล์ วอล์คเกอร์ เพื่อนร่วมทีม จนเกิดอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า ต้องใช้เวลาปฐมพยาบาลสักพักนึงเลย โดยตอนแรกเจ้าตัวพยายามจะฝืนเล่นต่อ จนเกือบทำทีมเสียประตู สุดท้ายฝืนไม่ไหว ต้องเปลี่ยนตัวออก และ ส่ง สเตฟาน ออร์เตก้า ลงมาแทน

- 3 ประตู สุดสวย เกิดขึ้นในเวลา 10 นาที

แมนฯ ซิตี้ ก็คือ แมนฯ ซิตี้ ต่อให้จะเกือบเสียประตู และ เอแดร์ซอน เกิดอาการบาดเจ็บ แต่พวกเขาก็ยังคงครองบอลบุกเข้าใส่ และ ไล่เพรสซิ่งจนทางเจ้าบ้านเสียบอลหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งนาทีที่ 26 ไคล์ วอล์คเกอร์ ได้บอลทางด้านขวา เปิดเรียดเข้ามาในกรอบเขตโทษ ก่อนจะเป็น แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่โชว์ความคลาส แก้ไขบอลย้อนหลัง ด้วยการไขว้ยิงแบบเหนือชั้น ชนิดที่ผู้รักษาประตูได้แต่ชายตามอง เป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ของ แมนฯ ซิตี้

ตอนนั้น 1-0 ฝั่ง นิวคาสเซิ่ล ก็ยังเป๋ไปเป๋มาเหมือนกัน แต่ที่นี่มันคือ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ดังนั้นเสียงเชียร์ยังคอยกระตุ้นให้พวกเขาสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้อยู่เสมอ และ พวกเขาก็ใช้การเพรสซิ่งเพื่อเอาบอลคืนมา และ ใช้การโต้กลับแบบไม่กี่จังหวะ จนมาได้ประตูตีเสมอจาก อเล็กซานเดอร์ อิซัค นาที 35 ที่หลอก วอล์คเกอร์ ก่อนปั่นเสียบเสาสองเข้าไปอย่างสุดสวย

จากนั้นแค่ 2 นาที เรื่องราวสุดช็อคก็เกิดขึ้น เมื่อ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด มาได้ประตูยิงแซง 2-1 จากจังหวะที่ตัดบอลได้เหมือนเดิม และ แดน เบิร์น แทงเร็วมาให้กับ แอนโธนี่ กอร์ดอน ทางด้านซ้าย ก่อนจากลากจี้ แล้วโยกหลอกยิงเสียบเสาสองเข้าไปเหมือนเดิม ซึ่ง กอร์ดอน ฟอร์มดีเหลือเกิน เวลาเจอกับทีมบิ๊กซิกซ์ เพราะนอกจาก แมนฯ ซิตี้ ก็ยังมายิงใส่ ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแล้ว เช่นกัน !!

- ขาด เอแดร์ซอน ส่งผลต่อ แมนฯ ซิตี้ ?

ถึงแม้ว่า 2 ประตูที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสียไปนั้น จะไม่ใช่ความผิดของ สเตฟาน ออร์เตก้า และ ก็ไม่ได้การันตีด้วยว่าถ้าหาก เอแดร์ซอน ยังคงยืนเฝ้าเสา จะสามารถเซฟลูกยิงของ อิซัค กับ กอร์ดอน ได้หรือเปล่า เพราะยิงเสียบเสาไกล สวยงามทั้งคู่

แต่กระนั้นสิ่งที่ สเตฟาน ออร์เตก้า ยังทำได้ไม่ดีนัก คือการออกบอลด้วยเท้า เพราะยังไม่มีความชัวร์เหมือนกับ เอแดร์ซอน และ มีจังหวะที่นายทวารมือ 2 เรือใบสีฟ้า ไปเงอะงะออกบอลช้า เกือบโดนฉกเสียประตูอยู่เหมือนกัน

โดยสิ่งที่เห็นระหว่างเกมเลยก็คือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องมีการปรับการยืน ให้มีผู้เล่น 3 คน บริเวณแนวกรอบเขตโทษ เวลาได้ลูกโกลคิก ตั้งเตะเกมขึ้นมา เพื่อคอยเซ็ตบอลบิ๊วท์อัพขึ้นมาจากแดนหลัง ฉะนั้นเดี๋ยวต้องมารอเช็คว่าอาการบาดเจ็บของ เอแดร์ซอน จะรุนแรงขนาดไหน จะต้องใช้เวลาพักนานหรือไม่ !!

- เควิน เดอ บรอยน์ ตัวบัคของลีก

รู้หรือยังครับว่า ทำไมการกลับมาของ เควิน เดอ บรอยน์ ถึงต้องสั่นสะเทือนไปทั้งลีก ถึงขั้นที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือใหญ่ ลิเวอร์พูล เคยออกปากแซวเลยว่า แค่ เดอ บรอยน์ วิ่งวอร์มอยู่ข้างสนาม ทั้งประเทศกำลังเริ่มอกสั่นขวัญแขวน 

เนื่องจากเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยี่ยม เป็นคนสำคัญ เป็นคีย์แมนที่จะทำให้ เรือใบสีฟ้า มีโอกาสป้องกันแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้มากกว่าเดิม หลังจากออกสตาร์ทช่วงครึ่้งซีซั่นแรก มีหลายนัดที่ แมนฯ ซิตี้ ทำแต้มหกเรี่ยราดไปเหมือนกัน

ล่าสุด เดอ บรอยน์ ก็ได้สร้างความแตกต่างให้เห็นอีกครั้ง เมื่อถูกส่งลงสนามมาแทน แบร์นาร์โด้ ซิลวา นาทีที่ 69 และ เขาใช้เวลาเพียงไม่นานแค่ราวๆ 5 นาที เท่านั้น ก็ลากกินพื้นที่ จนมีช่องว่างให้ลองส่องไกล ก่อนจะเน้นยิงแบบเล่นทาง บอลพุ่งเสียบเสาเข้าไปอย่างเฉียบคม เป็นประตูตามตีเสมอ 2-2 

อิทธิฤทธิ์ของ เดอ บรอยน์ ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะเขายังร่ายเวทมนต์ แอสซิสต์แบบเหนือชั้นวางบอลข้ามกองหลังคู่แข่งให้กับ "ออสการ์ บ็อบบ์" ดาวรุ่งวัย 20 ปี ที่โชว์ความนิ่ง แตะหลอกผู้รักษาประตู 1 จังหวะ ก่อนยิงเข้าไปไปให้ แมนฯ ซิตี้ พลิกกลับมาแซงเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ไปแบบพลิกนราก 3-2 

ซึ่งการลงสนามแค่ 20 นาที ของ เดอ บรอยน์ เรียกว่าสร้างความแตกต่างมหาศาล คุมบอลแดนกลางได้อย่างเบ็ดเสร็จ พร้อมกับยิง 1 ประตู กับ ทำอีก 1 แอสซิสต์ ซึ่งแอสซิสต์ลูกนี้ เป็นแอสซิสต์ครั้งที่ 103 บนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แซงหน้า แฟร้งค์ แลมพาร์ด เรียบร้อย ดังนั้นไม่แปลกเลยที่เขาจะคว้า แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครอง !!

- ชนะนัดนี้จี้ตูด ลิเวอร์พูล

ก็สมพรปากแบบที่ คล็อปป์ พูดไว้เลยครับ แค่ เดอ บรอยน์ ก็สั่นสะเทือนไปทั้งลีกแล้ว เพราะการเก็บ 3 คะแนนนัดนี้ ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ของตาราง แซงหน้า แอสตัน วิลล่า ขึ้นไปทำแต้มเป็น 43 คะแนน

ณ ตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ ไล่ตามหลัง ลิเวอร์พูล จ่าฝูง อยู่แค่ 2 แต้ม เท่านั้น โดยโปรแกรมแข่งเท่ากันแล้วที่ 20 นัด เรียกว่าลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พร้อมเข้าลูปติดเครื่องแซงช่วงครึ่งซีซั่นหลังอีกครั้ง ทว่าซีซั่นนี้มันจะไม่ใช่การลุ้นแชมป์กันแค่ 2 ทีม แต่มันยังมี อาร์เซน่อล, แอสตัน วิลล่า และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่มองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ

หลังจบเกมที่เอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ทางทีม แมนฯ ซิตี้ จะมีเวลาได้พักฟื้นร่างกายประมาณ 12 วัน นับจากนี้ และ จะกลับมาลงฟาดแข้งอีกครั้งในวันที่ 26 มกราคม นี้ เป็นโปรแกรม เอฟเอ คัพ ที่ต้องไปเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ซึ่งหนักมาก !! แต่อย่างน้อยพวกเขาจะฟิตแบบเต็มถัง ได้พักแบบเต็มๆ เพื่อรอฟัดกับ ไก่เดือยทอง อย่างแน่นอน

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline