logo-heading

"ทัพช้างศึก" ทีมชาติไทย กลับมาสร้างรอยยิ้ม และผลงานอันน่าประทับใจ ให้กับแฟนบอลชาวไทยทุกหมู่เหล่าอีกครั้ง ด้วยการเก็บชัยชนะประเดิมสนามเอเชี่ยน คัพ 2023 ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 52 ปี หลังจากที่ 7 ครั้งก่อนหน้านี้ ไทย ไม่เคยเอาชนะคู่แข่งนัดแรกในศึกชิงแชมป์เอเชียได้เลย

จากผลงานที่ไทยเอาชนะ คีร์กีซสถาน 2-0 เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (16 ม.ค.67) แน่นอนว่าเป็นผลงานที่ต้องชื่นชม ซึ่งนักเเตะทุกคนก็ทำผลงานได้ดีจริงๆ รวมทั้งการวางหมาก และการประเดิมคุมทีมในเกมอย่างเป็นทางการนัดแรกของ "มาซาทาดะ อิชิอิ" กุนซือใหญ่ชาวญี่ปุ่น ก็ทำได้ดีเดินขาด ซึ่งเรื่องชื่นชมนั้นก็เขียนและลงกันไปเยอะแล้ว 

วันนี้จึงอยากจะนำข้อผิดพลาด รวมถึงจุดอ่อนที่มองเห็นในเกมกับคีร์กีซสถาน มาวิเคราะห์และเขียนให้ทุกคนได้อ่านกัน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสองเกมข้างหน้าที่เราจะเจอกับโอมาน และ ซาอุดิอาระเบีย ที่ถือว่าเป็นงานหนักกว่าเกมแรกหลายเท่า

จุดอ่อนที่มองเห็น มีอยู่ 4 ข้อหลักๆ มีอะไรบ้าง ไปเหลากันเลย

1.การใช้โอกาสเปลือง

เกมกับคีร์กีซ เมื่อคืนนี้ทีมชาติไทย มีโอกาสยิงถึง 12 ครั้ง ตรงกรอบ 4 ครั้ง เป็น 2 ประตู ซึ่งถ้าดูจากโอกาสที่เรามี 12 ครั้ง น่าจะยิงได้มากกว่านี้ 3-4 ประตู และในเกมก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อคืนนี้ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ควรจะมีอย่างน้อย 1 ประตู เพราะมีโอกาสเหน่งๆ ถึง 3 ครั้ง ยิงคนคานไปครั้งนึง จับยาวยิงหลุดกรอบไปครั้งนึง และหลุดเดี่ยวครึ่งหลังไปครั้งนึง ยังไม่รวมโอกาสอื่นๆ ที่ก็ยิงทิ้งยิงขว้างไปหลายครั้ง

แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยเราได้เห็นว่าทีมชาติไทย สามารถสร้างโอกาสยิงได้เยอะแบบนี้ ดีกว่าเล่นไปแล้วหาโอกาสยิงไม่ได้เลย แต่อย่างที่บอก เกมกับโอมาน และซาอุฯ โอกาสก็คงจะไม่ได้เยอะแบบนี้ ดังนั้นถ้ามีโอกาสต้องจบให้เฉียบคม ห้ามพลาดเด็ดขาด

2.ความฟิต และพละกำลัง

เรื่องต่อมาคือปัญหาที่อยู่ติดตัวกับทีมชาติไทยมาแต่ไหนแต่ไร คล้ายๆ กับการใช้โอกาสเปลือง และความเฉียบคมในแดนหน้า นั่นก็คือเรื่องของความฟิต ที่นักเตะไทยมักจะหมดแรงน้ำข้าวต้มในช่วง 10-20 นาทีสุดท้าย ซึ่งมีนักเตะไม่กี่คนที่สามารถวิ่งได้แบบไม่มีหมดตลอดทั้งเกมอย่าง นิโคลัส มิคเกลสัน รวมทั้ง กัปตันอุ้ม ก็ถือว่าทำได้ดีมากๆ 

ส่วนแนวรุกของเราทั้ง 4 คน จะเห็นได้ว่าช่วงท้ายก็หมดกันทุกคน นั่นก็เป็นเพราะใส่หมดกันตั้งแต่นาทีแรก ซึ่งเราก็ต้องเปลี่ยนแนวรุกทั้ง 4 คนในช่วงครึ่งหลัง นี่ก็ถือเป็นโจทย์ที่ อิชิชิ จะต้องบริหารและบาลานซ์ให้ดีในเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะนักเตะไทยของเราก็ถือว่าเจ็บง่ายอยู่มิใช่น้อย

3.ความผิดพลาดในเกมรับ

แม้ว่าเมื่อคืนนี้เราจะไม่เสียประตู แต่ในเกมรับก็มีข้อผิดพลาดให้เห็นอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการตัดสินใจในกรอบเขตโทษ ที่เห็นๆ เลยก็จะมีจังหวะเคลียร์บอลพลาดในกรอบของ เอเลียส ที่ไปเข้าเท้าของคู่แข่ง โชคดีที่ตัวรุกคีร์กีซฯ ก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน แต่อื่นๆ ก็ถือว่าทำได้ดี โดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่เราไม่พลาดเลย แต่อีก 2 เกมข้างหน้าบอกเลย เราจะโดนทดสอบด้วยลูกกลางอากาศและการเข้าทำที่หลากหลายกว่านี้แน่นอน

4.การเสียบอลง่าย

ข้อสุดท้ายก็คงจะเป็นเรื่องของการเสียบอลง่าย เมื่อวานนี้ก็มีอยู่หลายจังหวะ โดยเฉพาะคู่เซ็นเตอร์ เอเลียส จ่ายบอลขึ้นหน้าเสียหลายลูก พรรษา เองก็มีจังหวะจ่ายบอลไปให้คู่แข่งเกือบงานเข้าไปช็อตนึง นอกนั้นก็จะเป็นจังหวะที่เราแย่งบอลมาได้ แล้วก็มักจะเสียบอลกันเองง่ายๆ ครองบอลอยู่กับตัวไม่ได้นาน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกจุดเหมือนกัน ที่เราต้องจ่ายกันให้เนี๊ยบกว่านี้ รวมทั้งเมื่อจังหวะที่ครองบอล ก็ต้องเสียให้ยากกว่านี้ด้วย

ที่กล่าวมาทั้งหมด จริงๆ ก็เป็นข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่มันเกิดขึ้นได้กับทุกทีมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราก็ต้องพยายามแก้ไข และลดข้อผิดพลาดให้มันเกิดขึ้นน้อยที่สุด โดยเฉพาะกับเกมระดับสูงอย่างเอเชี่ยน คัพ ซึ่งการเจอกับทั้งโอมาน และซาอุดิอาระเบีย อย่างที่บอกว่าน่าจะเป้นงานหนักกว่าเจอกับคีร์กีซสถานแน่นอน ดังนั้นเราต้องเน้นทุกจังหวะ อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดง่ายๆ

ก็หวังว่าการที่เราเปิดหัวได้ดีในเกมแรก มันจะส่งผลต่อความมั่นใจของนักเตะและทีมงานสตาฟฟ์โค้ชทุกคน เพื่อเป็นแรงกระตุ้นในการทำผลงานให้ดีต่อไปในเกมที่เหลือ และสามารถผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ได้ตามที่เราตั้งเป้าเอาไว้ และเผลอๆ ถ้าเราผลงานดีต่อเนื่อง อาจจะไปได้ไกลกว่ารอบ 16 ทีม ก็เป็นได้

ไม่แน่ว่าทีมชาติไทยชุดนี้ อาจจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมา ในศึกเอเชี่ยน คัพ ครั้งนี้ก็เป็นได้

#ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline