logo-heading

ที่ผ่านมาเคยมีหลายทฤษฎี เช่น มาร์ติน ซีกเลอร์ นักข่าวดังของ The Times เชื่อว่ามีโอกาสโดน 30 แต้ม เพราะขนาดเอฟเวอร์ตันยังโดนตั้ง 10 แต้ม ซิตี้ที่ตกแต่งบัญชีก็ควรโดนแรงกว่า

หรือจะเป็น เจมส์ ดั๊คเกอร์ เทียร์ 1 จากเทเลกราฟ เอาข้อมูลจากกฎมาวิเคราะห์ว่า หากพรีเมียร์ลีกขับไล่ซิตี้ บางทีอาจต้องหล่นไปล่างสุดคือนอกลีกเลย เพราะ EFL ที่คอยดูแลลีก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ, ลีกวัน และลีกทู ไม่มีกฎว่าต้องรับทีมใหม่เพิ่ม เขาจะรับเฉพาะทีมที่เลื่อนชั้น, ตกชั้น จากอันดับตารางคะแนนเท่านั้น 

ในเมื่อพรีเมียร์ลีกก็ไม่รับ, EFL ก็ไม่รับ สื่อเลยคาดว่ามีโอกาสหล่นไปนับ 1 ใหม่เลย

นี่คือการวิเคราะห์ทั้งหมด คุณจะเชื่อทฤษฎีไหนก็ได้ หรือจะมองว่ามีโอกาสรอดหมดก็ได้ แต่สำหรับผมไม่อยากให้มองข้ามความเห็น สเตฟาน บอร์สัน เพราะเขาเคยทำงานกับซิตี้มาก่อน อาจจะรู้ข้อมูลเชิงลึกก็ได้

บอร์สันบอกว่า ตัวเลขบัญชีต่อสปอนเซอร์ที่ออกมาคือ 50-60 ล้านปอนด์ก็จริง แต่ในมุมพรีเมียร์ลีกเชื่อว่ายอดจริงคือ 8 ล้านปอนด์เท่านั้น ที่เหลือคือการแต่งบัญชีหมดเลย เพื่อให้ไม่โดนเอาผิดกฎคุมการเงิน

เผื่อใครไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะกฎของพรีเมียร์ลีกหรือยูฟ่า จุดประสงค์หลักคือไม่ได้ห้ามซื้อเยอะ แต่ต้องหารายได้ให้มันเยอะก่อน อย่าใช้จ่ายเกินตัวเพื่อไม่ให้สโมสรล้มละลาย ซึ่งตามหลักซิตี้ไม่ล้มละลายอยู่แล้ว เจ้าของรวยขนาดนั้น แต่ประเด็นคือรายได้สโมสรช่วงแรกมันน้อยเสี่ยสิ ทีมเพิ่งสร้างไม่นาน

ทฤษฎีปรับเรือตกชั้น เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?

พวกเขาเลยใช้วิธีเอาเงินเจ้าของสโมสร ไปจ่ายบริษัทในเครือ แล้วให้บริษัทในเครือกลับมาสนับสนุนซิตี้อีกที คราวนี้รายได้สโมสรก็พุ่งกระโดดเลย ตอนปีแรกที่เปลี่ยนเจ้าของใหม่ พวกเขาทำเงินอันดับ 19 ของโลกเท่านั้น แต่ใช้เวลาแค่ 1 ปี กระโดดไปอันดับ 11 ของโลก และจากนั้น 4 ปีกระโดดไปท็อป 6 ของโลก 

บอร์สันบอกว่าซิตี้ทำแบบนี้ติดต่อกันเป็น 10 ปี นี่คือสาเหตุที่เขามองว่า หากข้อกล่าวหาทั้งหมดมีความผิดจริง ขั้นต่ำเลยน่าจะโดนปรับตกชั้น ส่วนขั้นสูงจะแรงขนาดไหน? ก็จินตนาการเอาดู

อย่างไรก็ตาม พอยต์สำคัญคือต้องผิดจริงนะครับ ตอนนี้ทีมกฎหมายของพรีเมียร์ลีกกับซิตี้กำลังสู้คดีกันอยู่ ตัวเลขรวมอาจมหาศาลถึง 115 กระทง แต่พอแบ่งเป็นหมวดหมู่แล้วคือ 5 หัวข้อ ลองมาวิเคราะห์กันว่าอันไหนลดได้บ้าง? 

เริ่มจากที่ดุเดือดก่อน ข้อแรกคือการตกแต่งสปอนเซอร์นั่นแหละ โดนไป 54 กระทง, ข้อที่ 2 คือตกแต่งค่าเหนื่อยนักเตะกับเอเยนต์อีก 14 กระทง และข้อที่ 3 คือละเมิดกฎการเงินพรีเมียร์ลีกบางฤดูกาล 7 กระทง 

3 หมวดหมู่นี้คือสาเหตุหลักที่ทำให้การสู้คดีล่าช้า เพราะในเมื่อหลักฐานมันมาจากแฮคเกอร์ เขาก็ต้องไปสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อเอามาเพิ่มน้ำหนักว่า ความจริงที่เกิดขึ้น มันตรงกับเอกสารจากแฮคเกอร์หรือเปล่า? หากคุณหาหลักฐานได้ไม่แน่นพอ คุณก็เอาผิดซิตี้ได้ยาก

ทฤษฎีปรับเรือตกชั้น เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?

ส่วนอันที่ผมคิดว่า ทีมกฎหมายซิตี้มีโอกาสแก้ต่างชนะได้ คือข้อหาแบบติดปลายนวม เช่น การไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับข้อยูฟ่า 5 กระทง อันนี้มันไม่เกี่ยวข้องกับพรีเมียร์ลีกเลย คดีนี้สู้กันแค่ในอังกฤษเท่านั้น โอกาสชนะของซิตี้ถือว่ามี

หรือจะเป็นการไม่ให้ความร่วมมือด้านเอกสาร คือเวลาพรีเมียร์ลีกขอเอกสารไป บางอันก็ส่งมาช้า บางอันก็ไม่เปิดเผยความจริง พอลีลาเยอะหน่อยพรีเมียร์ก็ฟันหนักไปเลย 35 กระทง ซึ่งผมคิดว่าการบ่ายเบี่ยงมันก็ไม่ดีแหละ แต่มันคงไม่แรงเท่าการแต่งบัญชี มันมีโอกาสสูงที่จะทำให้ตัวเลขลดได้ 

นั่นหมายความว่า พอยต์หลักจริงคือ 3 หมวดแรกรวม 75 กระทง จุดที่จะชี้วัดว่าโดนหนักหรือเบาคืออันนี้ ซึ่งถ้าให้ผมวิเคราะห์ เป็นไปได้ยากมากที่จะลดจาก 75 เหลือ 0 แบบไม่ผิดสักข้อเลย มันอาจมีสักข้อที่พรีเมียร์ลีกชนะบ้าง ซึ่งถ้าจำนวนมันเกิน 10 ขึ้นไป โอกาสโดนหนักเช่น 30 แต้ม หรือตกชั้น มันก็มองข้ามไม่ได้จริงๆ

เปรียบเทียบกันหน่อย เอฟเวอร์ตันผิดเรื่องขาดทุนเกินกำหนด และไม่ฟังคำแนะนำจากพรีเมียร์ลีก เลยโดน 10 แต้ม หรือจะเป็น ลูตัน ทาวน์ เคยโดนปรับ 30 แต้ม จากความผิดเรื่องบริหารการเงินและเอเยนต์ 

แต่ของซิตี้มีครบทั้งแต่งบัญชี, จ่ายเงินนักเตะและเอเยนต์นอกระบบ, ไม่ให้ความร่วมมือมากพอ มันก็มีโอกาสโดนไม่ต่างกับลูตัน หรืออาจจะมากกว่าตามที่ สเตฟาน บอร์สัน วิเคราะห์ไว้นั่นแหละ

ท้ายที่สุด เพื่อความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ซิตี้ต้องผิดจริงก่อนนะครับ ถึงจะโดนลงโทษ ในเชิงกฎหมายยังนับว่า "ต้องสงสัยว่าจะทำความผิด" ไม่ได้หมายความว่า "ผิดอย่างเป็นทางการ" ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า จาก 115 จะไปจบลงที่เท่าไหร่? โอกาสเป็น 0 ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หรือต่อให้จบคดีแล้วตัวเลขยัง 115 เท่าเดิม ซิตี้ก็ยังมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้อีก 1 ครั้ง จริงอยู่ว่านี่คือคดีในประเทศ เอาไปอุทธรณ์ศาลกีฬาโลกเหมือนตอนยูฟ่าไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีสิทธิ์ได้สู้อีกรอบ 

โอกาสตกชั้นมีไหม? แน่นอนว่ามี แต่คงจะดีกว่าถ้าเราไม่รีบเดาตอนจบ มันพลิกผันได้เสมอ เผลอๆ หนังเรื่องนี้ End Credit อาจพีกกว่าก็ได้

- Petr Boat -
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline