logo-heading

ถือเป็นธรรมเนียมไปแล้วกับการมาวิเคราะห์หลังเกมของ ทีมชาติไทย โดยเกมที่เพิ่งเจ๊ากับ ทีมชาติโอมาน ไป 0-0 เมื่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านก็เช่นเดียวกัน 

คาดว่าหลายๆ คนน่าจะมีความประทับใจในเกมนี้แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงทีมงานขอบสนามบอลไทยของเราด้วยที่มองภาพใหญ่ๆ ไว้ 4 ข้อกับการได้ 1 แต้มที่สำคัญในแมตช์นี้ ...

ข้อแรกการได้ นิวฉ่ำ ฟิตทัน ทำให้ อิชิอิ ใช้ 11 ผู้เล่นตัวจริงเซ็ตเดิม : ก่อนเกมหลายคนกังวลกับการเลือก 11 ผู้เล่นตัวจริงของ ทีมชาติไทย พอสมควรเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บของ พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี กองกลางตัวเก่งจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เล่นไม่จบเกมตั้งแต่นัดที่แล้ว โดยตัวของ “นิวฉ่ำ” เสมือนเป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญในระบบของ มาซาทาดะ อิชิอิ เพราะเขาเป็นผึ้งงานในแดนกลาง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ผ่านความฟิตและเล่นตัวจริงได้ทันที ทำให้ 11 ตัวจริงของทัพช้างศึกในนัดกับ โอมาน นี้เหมือนเดิมทุกตำแหน่ง และเป็นอีกเกมที่ นิวฉ่ำ ทำให้เห็นว่าการเล่นให้เข้าใจกับระบบของ อิชิอิ เป็นยังไง 

 

เป็นนัดที่โคตรอึดอัดตั้งแต่ครึ่งแรกจนจบเกมจริงๆ : ด้วย 3 แต้มจากนัดที่แล้วที่เราชนะ ครีกีซสถาน 2-0 ทำให้เกมนี้ ทีมชาติไทย อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่า ทีมขาติโอมาน ดังนั้นเราจึงสามารถครีเอทเกมและวิธีการเล่นได้ง่ายกว่าพวกเขา ทำให้นัดนี้เราแทบไม่ได้เห็นการเข้าทำมากเท่าที่ควร เพราะเราเลือกที่จะใช้วิธีรับแล้วรอโต้ โดยครึ่งแรกเรามีโอกาสจบแบบเหน่งๆ น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเกมกับลูกโหม่งของ เอเลียส ดอเลาะ แต่โดนปฎิเสธโดยผู้รักษาประตูของเขา ส่วนในครึ่งหลังน่าจะเป็น 45 ที่เราใช้แผนรับแน่นๆ แบบเต็มตัว และใช้บอลไดเรคจากกลางไปหน้าเพื่อโต้กลับ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเกมรุกจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่ทั้งหมดถือว่าอยู่ในแผนที่เราเตรียมมาเล่นในนัดนี้ทั้งหมด 

 

 

 

พรรษา - เอเลียส คือคำตอบว่าทำไมต้องเซ็นเตอร์อาชีพ : หลังจากที่โดนซ้อมอย่างหนักในช่วงก่อนเกมนัดนี้เพราะ อาจารย์อิชิอิรู้ดีว่าต้องโดน โอมาน โจมตีด้วยลูกกลางอากาศเข้ามาในกรอบเขตโทษแน่นอน แต่ถือว่าคู่ “เซ็นเตอร์” ของเราเล่นได้โดดเด่นและยอดเยี่ยมทั้ง พรรษา เหมวิบูลย์ และ เอเลียส ดอเลาะ ไม่มีข้อผิดพลาดที่ร้ายแรง โดยเฉพาะลูกจากด้านข้างที่ต่อให้โดนครอสเข้ามากี่ครั้งก็สามารถเก็บกินได้หมด  เรียกว่าทั้งคู่ช่วยเซฟได้ตามคำสั่งของแผนการเล่นรับแน่นๆ ในนัดนี้ และทำให้แฟนบอลไทยหลายๆ คนน่าจะหายสงสัยได้สักทีว่าทำไมฟุตบอลในระดับเอเชียแบบนี้เราจำเป็นต้องใช้ “เซ็นเตอร์อาชีพ” มาเล่นในตำแหน่งนี้ 

 

ท้ายเกมได้เห็นกึ๋นแก้เกมของ “อาจารย์อิชิอิ” : ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่เรากำลังโดนโจมตีอย่างหนักโดยเฉพาะเกมด้านข้างของ โอมาน ที่มาแบบถี่ๆ และได้ครอสมาบ่อยๆ ซึ่ง “โค้ชอิชิอิ” เลือกที่จะปรับเกมด้วยการเอา "นิโคลัส" โยกไปเล่นแบ็กซ้ายแทน ซึ่งเป็นการเล่นเหมือนตอนที่เราเจอกับญี่ปุ่นเสมือนรู้ว่าต้องเจอแบบนี้แน่ๆ เลยซ้อมตั้งแต่นัดนั้นไว้เลย พร้อมกับมีการปรับตรงกลางให้ทั้ง ธีราทร บุญมาทัน มาเล่น และเปลี่ยน สารัช อยู่เย็น มาช่วยบู๊ปิดเกมอีกคน พร้อมให้ ศุภนันท์ บุรีรัตน์ ที่้เปลี่ยนลงมาใหม่เล่นแบ็กขวาบู๊ๆ ไปเลย นอกจะเป็นการปรับแผนเพื่อเกมนี้แล้วยังเป็นการเล่นเผื่อเกมหน้าด้วย เพราะ “กัปตันอุ้ม” จะไม่ได้ลงเล่นเนื่องจากติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลือครบ 2 ใบ คาดว่าเชฟเกมรับน่าจะออกมาทรงนี้แน่ๆ ในแมตช์กับ ซาอุดิอารเบีย 

สุดท้าย 1 แต้มในเกมนี้ ส่งผลให้เราเก็บ 4 แต้มจาก 2 นัด

เพิ่มความหวังและโอกาสในการเข้ารอบได้แบบสดใสซาบซ่าๆ จริงๆ 

แบบนี้สิถึงจะเรียกได้ว่าช่วงเวลายุคใหม่ของฟุตบอลไทยได้เริ่มขึ้นแล้ว 

 

บอลพาดู 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline