logo-heading

"แต่เรา ก็หา....กัน...จนเจอ" จู่ๆ เพลงนี้ก็ลอยเข้ามาในหัว หลังเห็นภาพ "มาซาทาะ อิชิอิ" คุมทีมชาติไทยอยู่ที่ข้างสนาม และพาทัพช้างศึก ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเอเชี่ยน คัพ ด้วยผลงานที่สวยหรูไม่แพ้ใคร ไม่เสียประตู เก็บได้ถึง 5 แต้ม ซึ่งไม่ใช่การเข้ารอบมาแบบฟลุ๊คๆ!! หรือต้องพึ่งพาใครเพื่อให้เข้ารอบมา

ผลงานรอบแรกในเอเชี่ยน คัพ 2023 ทั้ง 3 นัด ถือเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายมากๆ ที่เราไม่เสียสักประตูเดียว แถมยังไร้พ่าย เก็บได้ถึง 5 คะแนน จริงๆ เกือบจะเป็นแชมป์กลุ่มด้วยซ้ำไป หากวันนั้นเราสามารถเอาชนะซาอุดิอาระเบียได้

ที่บอกว่าเกินความคาดหมายก็คือ ด้วยสภาพทีมที่เราคาดตัวหลักไปหลายคน ระยะเวลาการฝึกซ้อมที่น้อยกว่าชาติอื่น การจัดการที่เป็นแบบไทยๆ ก็ไม่คิดว่าผลงานจะออกมาดีเช่นนี้

ลึกๆ ก็คิดอยู่ละว่าเรามีโอกาสเข้ารอบ เพราะเชื่อมือ "อิชิอิ" ว่าจะสามารถพาไทยเอาตัวรอดได้ แต่การเข้าเป็นอันดับสอง อย่างที่บอกไป มันสุดยอดมากๆ ทำให้กลับมาคิดว่า จริงๆ แล้ว เรื่องเวลาการฝึกซ้อม หรือการขาดตัวหลักเก่งๆ ไป ก็ไม่สำคัญเท่ากับเรามีโค้ชที่ดี โค้ชที่เก่ง โค้ชที่เข้าใจฟุตบอลไทย โค้ชที่รู้จักนักเตะไทย หรือเรียกง่ายๆ ว่า กึ๋นของผู้เป็นกุนซือนั่นเอง

แม้เราไม่ได้นักเตะที่ดีที่สุดมาทั้งหมด เวลาการฝึกซ้อมมีจำกัด แต่เราก็สามารถทำผลงานออกมาให้ดีได้ ถ้าเรามีโค้ชที่เก่งจริง

ซึ่งถึงตรงนี้กล้าพูดได้เต็มปากว่า "มาซาทาดะ อิชิอิ" คือคำตอบของคำว่าโค้ชที่เก่ง และเหมาะสมที่สุดกับทีมชาติไทยในเวลานี้เป็นอย่างมาก และมาได้ถูกที่ถูกเวลาพอดี

ปีเตอร์ วิธ อดีตโค้ชทีมชาติไทยชาวอังกฤษ

ผมโตมากับทีมชาติไทยชุดดรีมทีมในยุคของน้าชัช และก็ต่อเนื่องมาถึงยุคของ "ปีเตอร์ วิธ" ที่ถือว่าเป็นโค้ชทีมชาติไทยขวัญใจชาวไทยในเวลานั้น แต่หลังจากหมดยุค ปีเตอร์ วิธ ไป ทีมชาติไทยก็ผลงายดิ่งลงเหว ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เรียกได้ว่าลงไปอยู่จุดต่ำสุดก็ว่าได้

วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตกุนซือทีมชาติไทย

จริงๆ ก่อนหน้านี้โค้ชที่ผมรู้สึกว่าเก่งจริง และขึ้นมายกระดับการเล่นของทีมชาติไทยให้ดูอินเตอร์และมีสไตล์ ดูแล้วมีทรงเล่นสนุก ผมยกให้ "วินฟรีด เชเฟอร์" อดีตกุนซือทีมชาติไทยชาวเยอรมัน ที่ทำให้ทีมชาติไทยในยุคนั้น สามารถต่อกรกับชาติใหญ่ในเอเชียได้ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายไม่สามารถพาทีมเป็นแชมป์อาเซียนได้

เรื่องผลงานความสำเร็จก็เรื่องนึง แต่เรื่องวิธีการเล่น ผมคิดว่า "วินนี่" เป็นโค้ชที่ทำให้ทีมชาติไทยเล่นสนุก และเป็นคนที่สามารถทำให้นักเตะเต้นฟอร์มเก่งของตัวเองออกมาได้ ภาพจำของผมคือเกมที่ไทยบุกไปเยือนออสเตรเลีย กับประตูขึ้นนำของ ธีรศิลป์ แดงดา ที่เราต่อบอลกันเวิลด์คลาสมากๆ ในจังหวะนั้น ซึ่งเราไม่ค่อยได้เห็นการเข้าทำแบบนี้กับทีมชาติไทยมานานแล้วในยุคนั้น มันจึงเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมาก แม้สุดท้ายเราจะแพ้ไปในเกมนั้นก็ตาม

ข้อแตกต่างระหว่าง วินนี่ กับ อิชิอิ ก็คือ กุนซือชาวเยอรมันนั้นไม่เคยมาทำงานในเมืองไทยก่อน ไม่เคยคุมทีมสโมสร ดังนั้นในช่วงที่เขามาคุมทีมชาติไทย มันจึงเหมือนทุกอย่างเริ่มต้นจาก 0 ทุกอย่างรีเซ็ตใหม่หมด ขณะที่ อิชิอิ นั้นอยู่เมืองไทย คุมทีมไทยมากว่า 5 ปี คุมมา 2 สโมสรในไทย แถมคว้าแชมปืมาแล้วทุกถ้วย มันจึงเป็นแต้มต่อที่เขามีมากกว่า วินนี่

"โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตเฮดโค้ชทีมชาติไทย

ต่อจากวินนี่ก็น่าจะเป็น "โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่นำวิธีการเล่นแบบติกิตาก้ามาใช้กับทีมชาติไทย และพาช้างศึกเป็นยอดทีมในอาเซียนเวลานั้น ทั้งซีเกมส์ และซูซุกิ คัพ เราเหมาเรียบ แถมยังพาทีมชาติไทยเข้าไปถึงรอบ 12 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก คว้าที่ 4 ในเชี่ยน เกมส์

แต่ก็นั่นแหละจริงอยู่ว่า "โค้ชซิโก้" คือโค้ชทีมชาติไทยที่ประสบความสำเร็จกับทีมช้างศึกมากที่สุดคนนึง และเป็นช่วงที่ฟุตบอลไทยบูมที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อไปในระดับเอเชียจริงๆ ก็ยังไปไม่สุดขนาดนั้น และก็มีคำถามตามมาว่า "โค้ชซิโก้" คือคนที่ใช่สำหรับทีมชาติไทย หรือยัง

ถ้าถามผมในช่วงเวลานั้นก็คือใช่สุดๆ เพราะช่วงนั้นทีมชาติไทยอยู่ในช่วงตกต่ำ โค้ชซิโก้ค่อยๆ งัดมันขึ้นมาจากทีมยู23 ที่ไปคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2013 ที่เมียนมา แต่ก้สร้างเด็กชุดนั้นขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ จนคว้าแชมป์อาเซียนสองสมัย และกระแสบอลไทยกลับมาบูมแบบสุดขีด

มาโน่ โพลกิ้ง อดีตกุนซือทีมชาติไทย

เราข้ามยุคของ "มิโลวาน ราเยวัช" ไปเลย เพราะไม่ได้มีอะไรน่าพูดถึงมากนัก ต่อมาก็สูญญากาศไม่มีโค้ชเป็นตัวเป็นตน ใช้ "โค้ชโต่ย" ขัดตาทัพอยู่พักนึงก่อนจะมาจบที่ มาโน่ โพลกิ้ง ซึ่งก็ทำได้ตามจ็อบของเราคือการกลับมาเป็นแชมป์อาเซียนได้ 2 สมัย แต่เราก็รู้กันดีว่า เราต้องการโค้ชที่เก่งกว่านี้เพื่อก้าวขึ้นไปในระดับเอเชีย หรือระดับที่สูงกว่านี้

มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือทีมชาติไทย

และในที่สุดเราก็มาได้ "มาซาทาดะ อิชิอิ" ในช่วงเวลาที่อาจจะดูเหมือนช้าไปนิด แต่อย่างน้อยก็มาทันเอเชี่ยน คัพ และก็ทำผลงานได้ดีกว่าที่เราคาดหวังไว้ตอนแรกเสียอีก 

จริงๆ เราน่าจะได้ อิชิอิ มาตั้งแต่ช่วงกลางปีหลังจบคิงส์ คัพ แต่ด้วยไทม์มิ่งและปัจจัยต่างๆ มันไม่ได้ในตอนนั้น ทำให้แยกย้ายกันกันไป ซึ่งตอนที่ อิชิอิ กลับญี่ปุ่น ก็คิดว่าคงไม่มีทางกลับมาคุมทีมชาติไทยแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณ "มาซะ" ที่เขายังรอทีมชาติไทยของเราอยู่

ตอนนี้สัญญาของ อิชิอิ เหมือนอยู่ในช่วงทดลองงาน 3 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงคาบเกี่ยวก่อนเป็นนายกสมาคมฯ และสภากรรมการชุดใหม่ ซึ่งสุดท้ายก็เชื่อว่าหลังเดือนกุมภาพันธ์นี้ก็น่าจะต่อสัญญายาวออกไป ตามข่าวก็คือ 2 ปี

ก็หวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี และเราคงไม่ทำให้กุนซือแดนปลาดิบรายนี้ต้องน้อยใจและบินกลับบ้านไปอีกละ ถ้าอะไรที่เขาต้องการ แล้วเราสามรถให้เข้าได้ เราก็เซย์เยสไปเลย

อย่างไรก็ดีเรายังต้องรอดูผลงานของ "อิชิอิ" กันไปยาวๆ เพียงแค่ 3 เกมในเอเชี่ยน คัพ คงจะยังบอกไม่ได้ว่า อิชิอิ จะสามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้ไกลแค่ไหน เพราะจริงๆ แล้ว รายการที่สำคัญที่สุดของเราก็คือ "ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก"

ซึ่งเราไม่ได้คาดหวังหรอกว่า "อิชิอิ" จะพาทีมไปบอลโลก รอบสุดท้ายได้ แต่สิ่งที่อยากเห็นคือ พาทีมชาติไทยผ่านเข้ารอบคัดเลือกรอบต่อไปให้ได้ แค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว

ซึ่งการมาของ "อิชิอิ" ทำให้แฟนบอลชาวไทย กลับมามีหวัง และดูทีมชาติไทยแบบมีความสุขอีกครั้ง หวังว่าคุณจะเป็นคนที่ใช่สำหรับทีมชาติไทยนะ "โค้ชมาซะ" 

"อาริกาโตะโกไซมัส"

"ありがとうございます"

"ARIGATÔ GOZAIMASU"

 

#ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline