logo-heading

วันอังคารที่ 30 มกราคมนี้ ทีมชาติไทย ของเราจะกลับมาลงสนามอีกครั้งในศึกเอเชี่ยน คัพ 2023 รอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยจะพบกับ อุซเบกิสถาน ที่ถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของทีมชาติไทย ในการพิสูจน์ให้ชาวเอเชียได้เห็นว่าที่เราผ่านเข้ารอบมานั้นเพราะโชคช่วย หรือด้วยฝีมือของเรา

นี่เป็นการลงเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ของทัพช้างศึก ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติทวีปเอเชีย ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 ที่ยูเออี เราผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายก็จอดที่รอบนี้ โดยแพ้ให้กับ ทีมชาติจีน ที่คุมทัพโดย มาร์เชลโล ลิปปี้ ไป 2-1

ครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้งที่เราจะลุ้นสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในรอบแบ่งกลุ่ม เราสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมามากมาย ทั้งการไร้พ่ายรอบแรก แถมไม่เสียประตูเลย และเก็บได้ถึง 5 คะแนน ถือเป็นแต้มสูงสุดของเราในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็คงต้องรอถามอุซเบกิสถาน ในเกมวันพรุ่งนี้

สำหร้บผลงานในรอบแรก ทีมช้างศึก เริ่มต้นด้วยการชนะ คีร์กีซสถาน 2-0 ต่อด้วยเสมอกับโอมาน และซาอุดิอาระเบีย แบบไร้สกอร์ ทั้งสองนัด จริงๆ แล้วมันเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม และดีเกินคาดกว่าที่ทุกคนคิดไว้ก่อนเริ่มทัวร์นาเม้นท์

แต่อีกมุมนึงก็จะมีแฟนบอลบางกลุ่ม หรือแฟนบอลชาติอื่นๆ อาจจะมองว่าไทยเราโชคดีมากกว่าที่เก็บชัยชนะได้ในเกมแรก ทำให้สองเกมถัดมาเล่นได้สบาย และไม่ได้กดดันอะไรมาก โดยเฉพาะเกมสุดท้ายที่เจอซาอุดิอาระเบีย ที่ถือเป็นของแข็งที่สุดในกลุ่ม ก็ดูเหมือนจะได้เล่นเพื่อเอาชนะไทยขนาดนั้น มันจึงเท่าไหร่ เราอาจจะยังไม่ได้เจอบทพิสูจน์ที่แท้จริง

แต่คราวนี้เมื่อมาถึงรอบน็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งก็คงจะไม่มีทีมไหนที่ต้องมากั๊ก ส่งสำรอง หรือเล่นเพื่อเสมออีกต่อไปแล้ว การมาเจอกับอุซเบกิสถาน จึงถือเป็นทดสอบสำคัญของทีมชาติไทย ว่าจะสามารถต่อกรกับทีมชั้นนำของเอเชียได้หรือไม่ และอุซเบฯ ก็ถือเป็นบททดสอบที่ดีเลยทีเดียว

พูดถึงคู่แข่งของเราก็น่ากลัวมิใช่น้อย แรงกิ้งฟีฟ่าห่างกับเราถึง 45 อันดับ โดยตอนนี้อุซเบฯ อยู่ที่ 68 ของโลก เป็นอันดับ 9 ของเอเชีย ขณะที่ทีมชาติไทย ของเรา อันดับอย่างเป็นทางการจริงๆ ตอนนี้คือ 113 เป็นที่ 21 ของเอเชีย

ถ้าดูแค่เฉพาะอันดับฟีฟ่าตอนนี้ ก็คงจะคิดว่าไทยเรา เหนื่อยแน่ๆ แต่เมื่อไปดูสถิติการพบกันของไทยกับอุซเบฯ เจอกันมาทั้งหมด 10 นัด เรากลับมีสถิติที่ดีกว่า ชนะได้ 6 แพ้ไป 4 ไม่เคยเสมอกัน โดยครั้งสุดท้ายที่ไทยชนะได้ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 แต่การเจอกันสองเกมหลังสุดเมื่อปี 2017 กับ 2022 เราแพ้เขา 2-0 ทั้งสองนัด

โดยช่วงหลังมานี้ก็ต้องยอมรับว่าทีมอุซเบฯ นั้นพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นแถวหน้าของเอเชีย และเราเจอทีไหร่ก็มักจะเสร็จทุกทีในช่วงหลัง บางครั้งเหมือนบอลคนละชั้นก็ว่าได้ ส่วนนึงก็เป็นเพราะเรื่องของสปีดบอล และรูปร่างนักเตะของคู่แข่งที่ดุจะสูงใหญ่กว่า จนถูกยกให้ว่าเป็นยุโรปแห่งเอเชีย

แต่มาในเอเชี่ยน คัพ หนนี้ จริงๆ อุซเบฯ ก็ไม่ได้ผลงานไฉไลหรือน่ากลัวอะไรขนาดนั้น ชนะ 1 เสมอ 2 เหมือนกับเรา และอีกอย่างนักเตะชุดนี้ก็ไม่ได้มีตัวซุปตาร์ที่ดูจะมีความอันตรายอะไรขนาดนั้น

ซึ่งถ้ามาดูที่ทีมชาติไทยของเรา กับผลงานชั่วโมงนี้ ผมก็มั่นใจว่าทีมช้างศึกของเราสู้ได้ และไม่เป็นรองด้วย อยู่ที่ว่าจังหวะทีเด็ดทีขาดของใครจะคมกว่ากัน แน่นอนว่าอุซเบฯ ดูจะได้เปรียบกว่าเรื่องของชื่อชั้น และรูปร่างนักเตะที่สูงใหญ่ แต่เราก็เห็นแล้วว่าที่ผ่านมาเรารับมือกับเรื่องนี้ได้ไม่มีปัญหา

ที่สำคัญเรามีกุนซืออย่าง อิชิอิ ที่ดูแล้วน่าจะมีแผนการเตรียมไว้รับมืออุซเบฯ อยู่แล้ว อย่างน้อยก็คิดว่าเราน่าจะได้เห็นเกมที่ไทยไม่เป็นรองอย่างแน่นอน

สำหรับคำตอบของเกมนี้เรื่องบทพิสูจน์ของทีมชาติไทย ว่าพวกเขาเจ๋งจริงหรือไม่ และสอบผ่านในเอเชี่ยน คัพ ครั้งนี้ หรือเปล่าไม่ได้อยู่ที่ผลแพ้ ชนะ เพียงอย่างเดียว

แต่มันอยู่ที่วิธีการและรูปแบบการเล่น ว่าเรานั้นสู้กับทีมชั้นนำของเอเชีย ได้ดีแค่ไหน ถ้าชนะได้ อันนี้สุดยอด ส่วนถ้าแพ้ ก็อยู่ที่ว่าเราแพ้แบบไหน ถ้าแพ้แบบประทับใจ และสู้ได้ดี ก็ถือว่าสอบผ่าน

จะอย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าแฟนบอลอย่างเราคาดหวังที่จะเห็นทีมชาติไทยชนะอยู่แล้ว และส่วนตัวผมก็มั่นใจว่าเราจะชนะอุซเบฯ ได้ และผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 

แล้วมารอดูกัน!!

 

#ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline