logo-heading

สิ่งแรกที่เราต้องรู้ คือสไตล์ของ 2 คนนี้ไม่เหมือนคล็อปป์ เพราะเป็นสายคอนโทรลเกม ไม่ใช่บอลไดเรคต์ที่อาศัยความวูบวาบ โดยไบรท์ตันครองบอลเฉลี่ยนัดละ 62% รั้งอันดับ 2 พรีเมียร์ลีก, เลเวอร์คูเซ่นครองบอลเฉลี่ย 62.3% อันดับ 1 บุนเดสลีกา ส่วนลิเวอร์พูลครองบอลเฉลี่ย 60% 

เรื่องการครองบอลอาจยังเห็นความแตกต่างไม่มาก 

แต่พอดูการส่งบอลสั้นยาวแล้วจะเห็นภาพชัด ลิเวอร์พูลส่งบอลสั้นเฉลี่ยนัดละ 529 ครั้ง ขณะที่ไบรท์ตันล่อไป 603 ครั้ง (อันดับ 2 ของลีก) ส่วนเลเวอร์คูเซ่นนี่โหดจัดเลย รั้งอันดับ 1 ของลีกที่จำนวน 660 ครั้งต่อเกม

ด้านบอลยาวลิเวอร์พูลเฉลี่ยนัดละ 50 ครั้ง เยอะสุดในบรรดาทีมบิ๊ก 6 พรีเมียร์ลีก ส่วนไบรท์ตันสาดยาวแค่นัดละ 41 ครั้ง น้อยเป็นอันดับรองสุดท้ายของลีก และเลเวอร์คูเซ่น 37 ครั้ง รองบ๊วยของลีกเช่นกัน 

เห็นได้ชัดว่าสไตล์ต่างกันคนละขั้ว ดังนั้น ไม่ว่าบอร์ดลิเวอร์พูลจะเลือกใครมาคุมทีม นักเตะก็น่าจะต้องปรับตัวเข้ากับโค้ชคนใหม่ด้วย ไม่ใช่เล่นแบบเดิม 100%

คำถามคือ แล้วทำไม FSG ไม่ไปเอาโค้ชคนอื่นที่เล่นคล้ายกัน? จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนเยอะ ซึ่งตามข่าวของ เจมส์ เพียร์ซ เทียร์ 1 สายหงส์บอกว่าปลื้มสไตล์ โธมัส แฟรงค์ ของเบรนท์ฟอร์ดเหมือนกัน แต่ถ้าจะมีสัก 1 ประเด็น ที่ทำให้แฟรงค์ไม่ใช่ตัวเต็งเหนืออีก 2 คน น่าจะเป็นคำว่า Potential

แฟรงค์ถนัดคุมทีมไซส์ประมาณนี้ แล้วให้เห็นเล่นตามศักยภาพที่มี คือบอลไดเรคต์แบบ JK ก็จริง แต่ครองบอลน้อยมากเฉลี่ย 48.7% ทว่าลูกกลางอากาศอย่างโหด โขกชนะเฉลี่ย 16.6 ครั้ง เป็นอันดับ 4 ของลีก

เขาทำให้ทีมเล่นตามขุมกำลังที่มี ไม่ต้องมีความสวยงามก็ได้ แต่อีก 2 คนเป็นโค้ชรุ่นใหม่ไฟแรง เป็นนักสู้ สายบวก กล้าทำทีมที่ศักยภาพไม่ดี ให้เล่นเหมือนทีมใหญ่ และมีจุดยืนหลักคือต้องบอลบุกเท่านั้น เราเลยได้เห็นอลอนโซ่คุมปีก่อนครองบอลแค่ 51.8% แต่ปีนี้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพิ่มเป็น 62.3%

ทั้งคู่เป็นนักคิด นักสร้าง และมีโอกาสพัฒนาฝีไม้ลายมือให้เก่งกว่านี้ ส่วนแฟรงค์ก็เก่งใช้ได้เลย ตบทีมใหญ่มาเยอะ แต่ผมมองเขาเป็นโค้ชสไตล์แบบบิ๊กแซมหรือปู่รอย ที่เหมาะคุมทีมประมาณนี้มากกว่า

คำถามต่อมาก็คือ บอลแบบอลอนโซ่ และเดแซร์บี้ ของใครต้องเปลี่ยนเยอะกว่ากัน? ต้องบอกว่าอลอนโซ่มีเครื่องหมายคำถามเยอะพอสมควร เพราะเขาใช้ระบบ 3-4-2-1 ที่ไม่มีปีกเลย ขณะที่นักเตะลิเวอร์พูลมีปีกเก่งๆ เพียบ ไม่ว่าจะเป็นซาลาห์ โชต้า ดิอาซ กั๊คโป หรือแม้แต่นูนเญซก็เล่นได้

จอห์น มุลเลอร์ นักวิเคราะห์ของ Athletic บอกเลยว่า บอลของอลอนโซ่ไม่น่าจะคลิ๊กทันทีกับลิเวอร์พูล เพราะเขาเน้นโจมตีพื้นที่กลางสนามเป็นหลัก แล้วปล่อยด้านข้างให้วิงแบ็กเล่นก็พอ ส่วนของลิเวอร์พูล เทรนต์ อาร์โนลด์ เน้นสาดยาวขึ้นหน้าให้ปีกขวา หรือไม่ก็เปลี่ยนแกนให้ปีกซ้าย ซึ่งเป็นสายไดเรคต์ตัวพ่อ ไม่ใช่สายส่งสั้น

คู่เซนเตอร์ก็เหมือนกัน ฟาน ไดค์ และโกนาเต้ เน้นโยนบอลไดเรคต์ออกปีกเท่านั้น แทบไม่มีสาดยาวไปตรงกลางเลย ดังนั้น นักเตะของลิเวอร์พูลเลยคุ้นเคยกับระบบขึ้นด้วยปีก แต่บอลของอลอนโซ่ไม่ใช่แบบนั้น 

ในทางกลับกัน ไบรท์ตันของ เด แซร์บี้ อาจจะเล่นบอลสั้นเหมือนอลอนโซ่ แต่ระบบของเขาคือ 4-2-3-1 ใช้ปีกธรรมชาติ 2 ข้าง แล้วเน้นขยี้กราบซ้ายด้วย เพราะมีสถิติบอกว่าบอลของไบรท์ตันขึ้นฝั่งขวาแค่ 30% ขณะที่กราบซ้าย 40% ซึ่งสาเหตุหลักก็คือ พอมีปีกซ้ายที่เก่งอย่างมิโตมะ ก็เน้นขึ้นบอลทางนั้นเป็นหลักไปเลย 

ในเชิงฟอร์เมชั่น เด แซร์บี้ ดูจะเหมาะกับลิเวอร์พูลมากกว่า เน้นปีกเป็นหลัก แต่ก็ใช่ว่าเขาไม่มีจุดอ่อน ซึ่งจากที่ตามดูฟอร์มบ่อย บอลไบรท์ตันสนุกมาก กล้าวิ่งสลับพื้นที่ ทุกคนมีความยืดหยุ่นสูง แต่ข้อเสียคือชอบบิวด์อัพแบบยากๆ หน้าปากประตู แล้วก็ไปตกม้าตายโดนฉกไปยิงตรงนั้นเลย

มันไม่เกี่ยวว่า ถ้าไปคุมลิเวอร์พูลแล้วมีกองหลังเป็นฟานไดค์ แล้วจะส่งแม่นขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะเสียแบบโค้ชสั่งให้เล่นยากเอง เช่น โดนเพรสมา 4 คน แล้วมีตัวขึ้นเกมแค่ 2-3 คน แต่ก็ยังพยายามฝืนเล่นยากๆ จนเสียประตูตลอด

สถิติบอกว่า ไบรท์ตัน เสียประตูจากความผิดพลาดเองถึง 7 ครั้งในฤดูกาลนี้ ขณะที่ลิเวอร์พูลเสียแบบพลาดเองแค่ 4 ครั้ง หรือซิตี้ที่บิวด์อัพเสียเองแค่ 2 ครั้งเท่านั้น 

นี่คือจุดอ่อนใหญ่ของ เด แซร์บี้ ที่ทำให้ปีนี้ฟอร์มดร็อปจากปีก่อน หลายทีมกล้าเพรสมากขึ้น เพราะรู้ว่าถ้าเพรสใส่ มีโอกาสแย่งได้

เด แซร์บี้ และอลอนโซ่ เป็นกุนซือที่มีแคแรกเตอร์ชัด ซึ่งบอร์ดลิเวอร์พูลต้องไปสรุปมาว่า ของใครปรับยากกว่ากัน? ระหว่างเล่นเสี่ยงแบบ เด แซร์บี้ หรือฟอร์เมชั่นไร้ปีกแบบอลอนโซ่

ฟังคร่าวๆ เหมือน เด แซร์บี้ อาจจะแก้ง่ายกว่า แค่เลิกเล่นเสี่ยง ความผิดพลาดก็ลด แต่เราไม่ควรมองแค่นั้น เราต้องอย่าลืมด้วยว่า ถ้าเล่นเสี่ยงน้อยกว่าเดิม ฟุตบอลเกมรุกสลับตำแหน่งของเขา ก็อาจไม่เหมือนเดิมด้วย มันก็ต้องรื้อทั้งระบบเหมือนกัน

ถ้าให้สรุปเป็นคะแนน ในเชิงแท็กติกคือไม่ต่างกัน แก้เยอะทั้งคู่ แต่เชื่อเหลือเกินว่า ด้วย Potential ที่สูงเหมือนกัน ต่อให้ลิเวอร์พูลเลือกคนไหน? อีกคนก็น่าจะมีทีมอื่นรอจีบอยู่ดี

- Petr Boat -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline