logo-heading

ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติทวีปเอเชีย ยังคงทำการแข่งขันแข่งขันกันอยู่ ตอนนี้เดินทางมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้ว แต่สำหรับทีมชาติไทย ของเราเอเชี่ยน คัพ หนนี้จบไปเรียบร้อยแล้ว โดยจอดป้ายที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เหมือนกับเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ที่ยูเออี ในเอเชี่ยน คัพ 2019

ก่อนเริ่มทัวร์นาเม้นท์ ทีมชาติไทยของเรามีปัญหามากมายในการเตรียมทีม ทั้งเรื่องระยะเวลาฝึกซ้อม มีโปรแกรมไทยลีกตกค้างมาขั้น นักเตะคนสำคัญบาดเจ็บถอนตัว บางคนไม่เจ็บแต่มีภารกิจที่สำคัญกว่าก็ต้องถอนตัวไปเช่นกัน ปัญหาต่างๆ ดูจะถาโถมเข้ามา และก็ไม่มีใครคิดว่าเราจะทำผลงานได้ดีในเอเชี่ยน คัพ ฉบับกาตาร์หนนี้

แต่แล้วเมื่อถึงเวลาลงสนาม ทีมช้างศึก ภายใต้การนำของแม่ทัพจากแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง "มาซาทาดะ อิชิอิ" กลับทำให้ทีมช้างศึกที่เหมือนจะไม่สมบูรณ์ กลับทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ และได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเกมแรกที่เราชนะคีร์กีซสถาน 2-0

ต่อเนื่องมาถึงเกมที่สองกับโอมาน และเกมที่สามกับซาอุดิอาระเบีย ที่แม้จะจบ 0-0 แต่ก็เป็น 0-0 ที่คุณภาพ และส่งทีมชาติไทยของเราเข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่มได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

ซึ่งหลังจากจบรอบแรก แฟนบอลทุกคนมีความสุกับผลงานทีมชาติไทย และไอ้ความสุขนี้แหละที่มันทำให้เราลืมปัญหาที่แท้จริงของทีมชาติไทย ไป เราคิดว่านี่ไงไม่เห็นต้องเตรียมทีมเยอะ ไม่เห็นต้องง้อนักเตะดังๆ เราก็สามารถเอาชนะผละผ่านเข้ารอบได้ 

ใช่เลย!! ส่วนนึงมันก็เป็นเช่นนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยกเครดิตให้ผู้เป็นกุนซืออย่าง "มาซาทาดะ อิชิอิ" ด้วย และผมมั่นใจว่าหากไม่ใช่ อิชิอิ ยากมากที่ใครจะทำทีมชาติไทยชุดนี้ให้ออกมาดีได้เหมือน 3 นัดแรกที่ผ่านมา

พอมาถึงเกมในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่เราต้องมาเจอกับ อุซเบกิสถาน นี่แหละคือเกมพิสูจน์ของจริงว่ามาตรฐานของเราสู้กับทีมในเอเชียได้หรือยัง เพราะรอบนี้เป็นบอลน็อคเอาท์ ทุกทีมใส่เต็ม ไม่มีใครมาเล่นเพื่อเสมอ ดังนั้นเรื่องของแท็คติก คุณภาพนักเตะ ฝีมือโค้ช เราก็จะมาก็จะมาเห็นกันในรอบนี้แหละ

สุดท้ายทีมชาติไทยของเราแพ้อุซเบกิสถาน 2-1 ซึ่งแม้จะแพ้ แต่บอกเลยว่าเราเล่นกันได้น่าประทับใจ ไม่ได้แพ้แบบสู้ไม่ได้ เพียงแต่ด้วยมาตรฐานและเกรดฟุตบอล ที่ก็ต้องยอมรับว่าเรายังเป็นรองคู่แข่งอยู่มาก และด้วยนักเตะเท่าที่มีอยู่ อิชิอิ ก็พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว ที่จะทำให้เกมนี้มันออกมาสูสี และไม่ได้แพ้แบบน่าเกลียด

ในช่วงเวลาที่เราชนะ เรามักจะมองข้ามปัญหาและจุดอ่อน ข้อผิดพลาดของเรา แต่พอเราแพ้ คราวนี้มันก็จะได้เห็นอะไรชัดเจนมากขึ้น และเราก็ต้องกลับมายอมรับความจริงแบบไม่โกหกตัวเองว่า ทีมชาติไทย ของเรายังสู้กับทีมในระดับเอเชียไม่ได้

และในเวลาเดียวกันนอกจากที่เราจะได้รู้สถานะตัวเองแล้ว เรายังจะได้กลับมามองถึงปัญหาที่แท้จริงของทีมชาติไทย ด้วยว่ามันคืออะไรกันแน่ และก็อย่าลืมว่าเรามาเอเชี่ยน คัพ ครั้งนี้ ด้วยคสามไม่พร้อมเอาซะเลยมากๆ แต่โชคดีที่โค้ชเก่งก็เอาตัวรอด ผ่านเข้ารอบมาได้

แต่หากย้อนกลับไปพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เราถึงไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ มันคืออะไร นี่คือสิ่งที่ผมอย่างจะพูดถึง ถือเป็นบทเรียนที่เราได้เรียนรู้จากเอเชี่ยร คัพ ครั้งนี้ก็แล้วกัน 

สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือ นักเตะทีมชาติไทย มาตรฐานยังห่างกันอยู่ หมายความว่าผู้เล่นของเราฝีเท้ายังห่างกันเกินไป ไม่ต้องพูดถึงตัวจริงกับตัวสำรอง เอาแค่ 11 คนแรกในสนาม มีอยู่ไม่ถึงครึ่งที่ชั้นหรือคลาสเท่าๆ กัน ภาษาบอลเรียกว่าเซนส์ทันกัน 

คือถ้าเรามีนักเตะที่เฝ้าใกล้เคียงกัน เล่นแล้วทันกัน ทีมชาติไทยเราจะไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน

ผมเคยบอกไปแล้วว่า หากเรามีนักเตะอย่าง ธีราทร อย่าง ชนาธิป อย่าง ธีรศิลป์ หรือล่าสุดคืออย่าง มิคเกลสัน, สุภโชค ให้ได้สัก 10 คน หรือ 11 คนทั้งทีม เอาแค่ 11 คนแรกก่อน ให้มาตรฐานสูงเหมือนนักเตะเหล่านี้ รับรองว่าเราจะสู้กับทีมระดับเอเชียได้สบายๆ

ต่อมาก็คือเรื่องสปีดบอล นี่คือปัญหาที่ติดตัวทีมชาติไทยมาตลอด เวลาเจอคู่ต่อสู้ที่ชื่อชั้นสูงกว่า คือฟุตบอลเราช้ากว่าเขาตลอด แต่ในเอเชี่ยน คัพ ครั้งนี้ก็ถือว่าเราเร็วขึ้นมานิดนึงแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังช้าอยู่ดี เรื่องนี้ก็คงจะต้องไปแก้ตั้งแต่ระกับฟุตบอลลีกในประเทศ ซึ่งเอาตรงๆ ไทยลีก ก็ยังเล่นช้าเล่นน่าเบื่ออยู่เลยในบางเกม ถ้าไม่ใช่ทีมใหญ่เจอกัน ซึ่งมันก็คงต้องไปแก้กันทั้งระดับบ

ที่เหลือก็เป็นเรื่องรายละเอียดในเกมอย่างเกมรับ กับความเฉียบคมในเกมรุก ซึ่งฟุตบอลระดับนี้ข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ต้องพยายามให้มันเกิดขึ้นน้อยที่สุด อย่างเกมรับก็ต้องไม่เสียง่ายๆ เราก็ทำได้ดีในระดับนึง โดยเฉพาะ 3 นัดแรกที่ไม่เสียประตู และอีกเรื่องที่สำคัญเลยก็คือ ความหลากหลายในการยิงประตู และความเฉียบคม ที่ดูเหมือนเราจะยังทำกันได้ไม่ดีในเอเชี่ยน คัพ ครั้งนี้

จริงๆ ถ้าจะให้เขียนหรือให้พูดถึงสิ่งที่เราต้องพัฒนาและยกระดับตัวเองให้สูงกว่านี้ ถ้าคิดจะไปในระดับเอเชีย หรืแจะไปถึงฟุตบอลโลกที่ทุกคนใฝ่ฝัน มันยังมีอีกเยอะและก็คงเขียนคงพูดไม่หมด

แต่สิ่งสุดท้ายที่อยากจะบอกก็คือ จะแก้ตรงไหนอย่างไรก็ตาม สุดท้ายันต้องไปแก้ที่ต้นตอ ที่ระบบของมันเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้คงต้องฝากไปยังผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลชุดใหม่ ที่เรากำลังจะได้ในในสัปดาห์หน้า

ถ้าคิดจะประสบความสำเร็จกับทีมชาติไทย คุณต้องไปแก้ไขระบบโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ระดับเยาวชน ทั้งชาย-หญิง รวมทั้งฟุตบอลลีก ให้มันเป็นมาตรฐานและมืออาชีพกว่านี้ ไม่ใช่เอาแต่ยอด ทำงานแบบผักชีโรยหน้า

พอมีการแข่งขันมีทัวร์นาเมนท์ลงเตะ ก็มาหาโค้ช แต่งตั้งโค้ชใหม่กันทีนึง เตะจบกลับมาก็หาย กลับไปเหมือนเดิม พอจะมาเตะใหม่ก็มาเริ่มกันใหม่อีกทีนึง แบบนี้ฟุตบอลไทยไม่ไปไหนแน่นอน

ดังนั้นถ้าอยากเห็นบอลไทย ไปได้ไกลกว่านี้ ไปเริ่มที่โครงสร้าง และระบบ ถ้าเริ่มได้ถูก ทำได้ถูก ทุกอย่างมันจะส่งผลให้เห็นเองในอนาคต แต่ถ้าไม่เริ่ม หรือเริ่มไม่ถูก มันก็เดินหลงทางกันแบบนี้แหละ

สุดท้ายฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร คงต้องรอการเปลี่ยนแปลง และรอดูฟ้าใหม่ของฟุตบอลไทย 8 กุมภาพันธ์ นี้อีกครั้ง

#ชิชาริเต่า

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline