logo-heading

อลอนโซ่วิเคราะห์แท็กติก โธมัส ทูเคิ่ล ได้เฉียบขาด เขารู้ว่าบาเยิร์นตอนนี้เล่นแผนหลัง 4 ก็จริง แต่ประวัติที่ผ่านมาทูเคิ่ลเคยเล่น 3-4-2-1 สมัยคุมเชลซี ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะปรับมาเล่นแผนหลัง 3 ตอนดวลกันในนัดล่าสุด

อลอนโซ่ให้เหตุผลว่า บาเยิร์นได้กองหลังหายเจ็บกลับมาเยอะ มีตัวเลือกตำแหน่งเซนเตอร์ถึง 4 คน ทำให้มีโอกาสใช้หลัง 3 มากกว่าหลัง 4 เขาเลยติวลูกทีมให้พร้อมรับมือทุกรูปแบบ เช่น ถ้าเจอหลัง 4 ต้องเล่นยังไง? และถ้าเจอหลัง 3 ตามที่คาดเอาไว้ต้องเล่นยังไง?

จุดชี้ขาดคือการเพรสซิ่ง อลอนโซ่บอกว่า ถ้าทูเคิ่ลมาแผนหลัง 3 ต้องหาจังหวะไล่บอลให้เหมาะสม แล้วต้องดูด้วยว่า ควรเพรสหนักตอนบอลอยู่ที่ใคร? ซึ่งหลักๆ เลยคือเพรสหนักที่ 3 เซนเตอร์ เพื่อตัดขาดการส่งบอลจากหลังไปกลาง

แผนของอลอนโซ่คือให้ 3 ตัวรุกไปบีบ 3 เซนเตอร์บาเยิร์น เพื่อให้ครองบอลไม่ถนัด และถ่ายบอลให้คู่มิดฟิลด์ยาก ซึ่งพอคู่มิดฟิลด์ขึ้นเกมไม่ธรรมชาติ มันก็ทำให้บาเยิร์นสร้างพื้นที่ทำเกมบุกยากมาก

ฟังสัมภาษณ์จนถึงท่อนนี้ ผมมั่นใจเลยว่า อลอนโซ่ศึกษาแท็กติกทูเคิ่ลย้อนหลังตั้งแต่สมัยคุมเชลซีเลย เพราะสมัยนั้นทูเคิ่ลมีปรัชญาในการขึ้นเกม (Build-up) ด้วยการใช้ฐาน 5 แบ่งเป็น 3 เซนเตอร์และ 2 มิดฟิลด์

สปีดบอลของทูเคิ่ลจะไม่ได้ไวมาก แต่เน้นความบาลานซ์ ซึ่งถ้าคู่ต่อสู้ปล่อยให้ฐาน 5 ครองบอลกันติดเมื่อไหร่ มันจะเปิดโอกาสให้วิงแบ็ก 2 ข้างเติมเกมรุกแบบไม่ต้องกังวลเกมรับ เราเลยได้เห็น รีซ เจมส์ กับ เบน ชิลเวลล์ เล่นได้โหดมากๆ ช่วงก่อนเจ็บ

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่คว้าแชมป์ UCL แผนของทูเคิ่ลก็เริ่มโดนจับทางได้เหมือนกัน เพราะเวลาที่ 3 เซนเตอร์ครองบอลไม่ได้ คู่กลางอย่าง ก็องเต้ และจอร์จินโญ่ ก็จะขึ้นเกมลำบากด้วย 

เรียกว่าถ้าเพรสกองหลังเชลซีได้ดีพอ มันจะตัดความไหลลื่นของเชลซีไปทันที นอกจากนี้ อลอนโซ่เองก็เก่งมากเรื่องแผน 3-4-2-1 เหมือนกัน เพราะนี่คือแผนหลักที่ใช้กับเลเวอร์คูเซ่นและยังไม่แพ้ใคร ดังนั้น เขาเองก็น่าจะยิ่งรู้ว่าจุดแข็ง-จุดอ่อนของแผนนี้คืออะไร เลยคิดกลยุทธ์มาสยบบาเยิร์นได้สำเร็จ 

เท่านั้นไม่พอ อลอนโซ่ยังเปลี่ยนรายละเอียดแผนทีมตัวเองด้วย ปกติแล้วพวกเขาเล่น 3-4-2-1 เวลาเกมรุก ส่วนเกมรับจะให้วิงแบ็กถอยไปยืนเป็นฟูลแบ็ก เปลี่ยนเป็นแผน 5-2-2-1 แทน ทว่านัดล่าสุดเขาใส่ความหวือหวาเพิ่มเติมเข้ามา

นั่งดูฟูลแมตช์แบบละเอียด ช่วงที่ไม่ได้ครองบอลยังเล่นหลัง 3 แบบวิงแบ็กตามปกติ แต่พอถึงตอนครองบอลเมื่อไหร่จะเล่น 4-2-3-1 โดยขยับเอาวิงแบ็กซ้ายอย่างกริลมาโด้ หุบมาเล่นเป็นกลางรุกเยื้องซ้าย

พอกราบซ้ายไม่มีกริลมาโด้คอยยืนชิดเส้น อลอนโซ่เลยสั่งให้เซนเตอร์ตัวซ้ายอย่างฮินคาปี้ดันสูงไปช่วยด้านข้างแทน ซึ่งถ้าใครนึกภาพไม่ออกให้ดูประตู 2-0 ที่เลเวอร์คูเซ่นยิงได้ 

จังหวะนั้นกริลมาโด้หุบเข้ามาตรงกลาง เพื่อเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกเยื้องซ้าย ก่อนจะมีฮินคาปี้วิ่งอ้อมขึ้นไปด้านข้างแทน เพื่อดึงสมาธิกองหลังบาเยิร์นให้สนใจฮินคาปี้ จนไม่ได้สนใจกริลมาโด้เท่าที่ควร 

จากนั้นกริลมาโด้เลยทำชิ่งกับเพื่อนโคตรง่าย เพราะแนวรับบาเยิร์นไปโฟกัสฮินคาปี้หมดแล้ว ก่อนจะหลุดไปยิงประตูสุดคม ซึ่งจังหวะนี้ชี้ขาดประตูกันด้วยกลยุทธ์เลย 

ผมเชื่อว่าอดีตนักบอลหลายคน ย่อมมีความรู้ทางแท็กติกกันแน่นอยู่แล้ว เพราะผ่านการร่วมงานกับโค้ชระดับท็อปมาเยอะ แต่มันมีไม่กี่คนหรอก ที่ประยุกต์เอาแท็กติกสมัยเป็นนักเตะ มาปรับใช้ได้จริงตอนเป็นโค้ช รวมถึงยังมีปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง เช่น การบริหารจัดการทีม ซึ่งจนถึงตอนนี้เราต้องยอมรับว่าอลอนโซ่ทำได้ดีเกินคาด

ด้วยผลงานที่ดีขนาดนี้ อลอนโซ่คงได้คุมเลเวอร์คูเซ่นเป็นปีสุดท้าย ก่อนจะย้ายไปคุมทีมที่ใหญ่ขึ้นในปีหน้า ซึ่งลิเวอร์พูลที่เป็นเต็ง 1 มาตลอดควรต้องเร่งเจรจาด่วน เพราะถ้ารอช้าจนบาเยิร์นปลดทูเคิ่ลขึ้นมาเมื่อไหร่? รับรองว่าพี่เสือมาร่วมวงแย่งแน่นอน

นี่ยังดีที่อันเช่ต่อสัญญากับมาดริดไปแล้ว ไม่งั้นคงมีถึง 3 ทีมที่แย่งตัวกัน 

สไตล์ของอลอนโซ่ อาจไม่ได้เหมือนกับคล็อปป์ 100% และมีความแตกต่างกันเยอะด้วย โดยอลอนโซ่จะเน้นต่อบอลสั้น ส่วนคล็อปป์เน้นไดเรคต์เป็นหลัก แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ด้วยผลงานตอนนี้ และโอกาสที่จะพัฒนาฝีมือเพิ่มเติมได้ นี่คือเพชรเม็ดงามที่ลิเวอร์พูลปล่อยไม่ได้เด็ดขาด

- Petr Boat - 
 

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline